Skip to the main content block
::: หน้าแรก| แผนผังเว็บไซต์| Podcasts|
|
Language

Formosa Dream Chasers - Programs - RTI Radio Taiwan International-logo

รายการ
| รายการล่าสุด
เลือกรายการ
ผู้จัดรายการ ตารางรายการ
ประเด็น (ข่าว) ยอดนิยม
繁體中文 简体中文 English Français Deutsch Indonesian 日本語 한국어 Русский Español ภาษาไทย Tiếng Việt Tagalog Bahasa Melayu Українська แผนผังเว็บไซต์

ไขปัญหาแรงงาน วันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568

ผู้ใช้แรงงานในครัวเรือน สามารถให้นายจ้างยื่นขอเข้าร่วมประกันภัยแรงงานโดยสมัครใจได้
ผู้ใช้แรงงานในครัวเรือน สามารถให้นายจ้างยื่นขอเข้าร่วมประกันภัยแรงงานโดยสมัครใจได้

1. ผู้ใช้แรงงานในครัวเรือน สามารถให้นายจ้างยื่นขอเข้าร่วมประกันภัยแรงงานโดยสมัครใจได้

           ตามกฎหมายประกันภัยแรงงาน ลูกจ้างที่ทำงานนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในมาตรา 6 วรรค 1 (เช่น ผู้อนุบาลในครัวเรือน) นอกจากได้รับการคุ้มครองจากประกันอุบัติภัยจากการทำงานที่กฎหมายบังคับให้นายจ้างต้องเอาประกันให้ลูกจ้างทุกคน รวมถึงผู้อนุบาลในครัวเรือนตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำงานแล้ว ผู้อนุบาลในครัวเรือนยังสามารถให้นายจ้างสมัครเข้าร่วมประกันภัยแรงงานโดยสมัครใจได้ สำหรับสัดส่วนการจ่ายเบี้ยประกัน : นายจ้างรับผิดชอบ 70% แรงงานจ่าย 20% และรัฐบาลสมทบให้ 10% ในระหว่างประกัน หากเกิดอุบัติเหตุทั่วไปขึ้น แรงงานจะได้รับการคุ้มครองกรณีเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต คลอดบุตรและบำเหน็จชราภาพ ฯลฯ หรือพูดง่าย ๆ คือ ผู้อนุบาลในครัวเรือนสามารถให้นายจ้างยื่นสมัครเข้าร่วมประกันภัยแรงงานโดยสมัครใจได้ ต่างจากแรงงานในภาคการผลิตที่กฎหมายบังคับให้นายจ้างที่มีลูกจ้าง 5 คนขึ้นไป ต้องเอาประกันให้แก่ลูกจ้าง ดังนั้น ที่ผ่านมา นายจ้างที่ว่าจ้างผู้อนุบาลจึงไม่ยอมเอาประกันให้แก่ลูกจ้างที่เป็นผู้อนุบาลในครัวเรือน เพื่อประหยัดเบี้ยประกัน แต่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ผู้อนุบาลได้รับบาดเจ็บ ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต นายจ้างจะรับภาระที่ค่อนข้างหนัก

ผู้อนุบาลต่างชาติเรียกร้องสิทธในการเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงาน (ภาพประกอบ chinatimes.com)

      เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั่วไปหรืออุบัติเหตุนอกงาน แต่ละเดือนนายจ้างและแรงงานจ่ายเบี้ยประกันเพียงเล็กน้อย สามารถกระจายภาระหน้าที่และความเสี่ยงที่นายจ้างต้องรับผิดชอบได้ หากเสียชีวิตกะทันหันหรือเจ็บป่วยร้ายแรงจนเป็นเหตุให้ทุพพลภาพ ก็สามารถยื่นขอรับเงินชดเชยได้ทันที ช่วยรับประกันความมั่นคงทางการเงินของแรงงานและครอบครัว และช่วยลดภาระการดูแลของนายจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้อนุบาลต่างชาติเรียกร้องสิทธในการเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงาน (ภาพจาก chinatimes.com)

ข้อควรระวัง

      สำหรับเบี้ยประกันภัยแรงงานที่แต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบนั้น คำนวณจากเงินเดือนผู้อนุบาลในครัวเรือนในปัจจุบัน 20,000 เหรียญ (ผู้อนุบาลไทยได้รับเงินเดือนสูงกว่านี้) เข้าข่ายเอาประกันในวงเงินประกันชั้นที่ 1 คือ 28,590 เหรียญ นายจ้างรับผิดชอบเบี้ยประกัน 2,355 เหรียญต่อเดือน (ประกอบด้วยเบี้ยประกันภัยแรงงาน 2,301 เหรียญและเบี้ยประกันอุบัติเหตุจากการทำงาน 54 เหรียญ) ตัวแรงงานเองจ่ายเบี้ยประกัน 658 เหรียญ โดยนายจ้างหักจากเงินเดือนแล้วนำส่งกองทุนประกันภัยแรงงาน

ผู้อนุบาลต่างชาติเรียกร้องสิทธในการเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงาน (ภาพจาก udn.com)

กรณีตัวอย่างสิทธิประโยชน์

      อาเหมย ผู้อนุบาลในครัวเรือนพบก้อนเนื้อผิดปกติบริเวณเต้านมขวา หลังแพทย์ตรวจวินิจฉัยพบเป็นมะเร็งเต้านม ต้องเข้ารับการผ่าตัดตัดเต้านมขวาออก พร้อมพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลา 14 วัน

      หลังออกจากโรงพยาบาล อาเหมยได้ยื่นคำร้องขอรับเงินชดเชยกรณีเจ็บป่วยและทุพพลภาพ โดยนายจ้างช่วยดำเนินการ กองทุนฯ ได้อนุมัติเงินชดเชยรวม 62,422 เหรียญไต้หวัน โดยมีรายละเอียดดังนี้ :

      - ค่าชดเชยกรณีเจ็บป่วย : 5,242 เหรียญไต้หวัน คำนวณจากวันที่ 4 ของการเข้ารับการรักษาจนถึงวันออกจากโรงพยาบาล คิดตามวงเงินประกันเฉลี่ยรายวันในช่วง 6 เดือนก่อนเกิดเหตุ เท่ากับ 953 เหรียญ (ค่าจ้าง 20,000 เหรียญ เข้าข่ายเอาประกันในวงเงินประกันชั้นที่ 1 คือ 28,590 เหรียญ หารด้วย 30 วัน) × 50% × 11 วัน = 5,242 เหรียญไต้หวัน

ผู้อนุบาลเป็นตำแหน่งงานที่หนัก เงินน้อย ยังไม่มีสวัสดิการและได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายมาตรฐานแรงงาน  (ภาพจาก udn.com)

      ค่าชดเชยกรณีทุพพลภาพ : 57,180 เหรียญไต้หวัน

      ระดับความทุพพลภาพตรงตามมาตรฐานค่าชดเชยข้อ 7-44 ระดับที่ 13 จะได้รับค่าชดเชย 60 วันของวงเงินประกันรายวันก่อนเกิดเหตุ 6 เดือน เท่ากับ 953 เหรียญ × 60 วัน = 57,180 เหรียญไต้หวัน

      ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นสิทธิประโยชน์ของการเป็นสมาชิกกองทุนประกันภัยแรงงาน อย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า แรงงานต่างชาติที่เดินทางมาทำงานในไต้หวัน มีเพียงแรงงานภาคครัวเรือน อย่างตำแหน่งผู้อนุบาลในครัวเรือนและผู้ช่วยงานบ้านหรือที่เรียกง่ายๆ ว่าตำแหน่งแม่บ้าน เท่านั้นที่กฎหมายไม่ได้บังคับให้นายจ้างต้องเอาประกันภัยแรงงานให้แก่ลูกจ้าง โดยใช้วิธีส่งเสริมให้เข้าร่วมโดยความสมัครใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ นายจ้างเกือบทั้งหมด จึงเลือกที่จะไม่ทำประกันภัยแรงงานให้แก่ผู้อนุบาลของตน เพราะสามารถประหยัดเบี้ยประกันได้เดือนละ 2,355 เหรียญ แม้กระทรวงแรงงานจะส่งเสริมและออกมาเรียกร้องหลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล คงต้องใช้มาตรการดึงดูดหรือจูงใจมากกว่าการเรียกร้องอย่างเดียว และด้วยเหตุที่ผู้อนุบาลในครัวเรือนถูกกันอยู่นอกระบบประกันภัยแรงงาน จึงมีการชุมนุมประท้วงหลายครั้งในประเด็นนี้ ครั้งล่าสุด มีกลุ่ม NGO และผู้อนุบาลในครัวเรือนหลายร้อยคนชุมนุมหน้ากระทรวงแรงงาน เรียกร้องสิทธิในการเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงาน

ผู้อนุบาลเป็นตำแหน่งงานที่หนัก เงินน้อย ยังไม่มีสวัสดิการและได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายมาตรฐานแรงงาน  (ภาพจาก udn.com)

           จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานพบว่า ปัจจุบันในไต้หวันมีแรงงานต่างชาติที่ทำงานในตำแหน่งผู้อนุบาลในครัวเรือนดูแลผู้สูงอายุและคนป่วยประมาณ 200,000 คน แต่ผู้อนุบาลกลุ่มนี้ ยังไม่ได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายมาตรฐานแรงงาน โดยเมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันก่อนวันลูกจ้างทำงานบ้านสากล 1 วัน กลุ่มแรงงานต่างชาติที่ทำงานเป็นผู้อนุบาลในบ้านได้รวมตัวกันที่หน้าอาคารที่ทำการกระทรวงแรงงาน ยื่นคำร้องขอให้ไต้หวันปฏิบัติตามอนุสัญญาองค์การแรงงานสากล (ILO) ฉบับที่ 189 บังคับให้ผู้ใช้แรงงานในครัวเรือนต้องได้รับการคุ้มครองจากระบบประกันภัยแรงงาน ไม่ควรถูกกีดกันอยู่นอกระบบอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ผู้อนุบาลต่างชาติชุมนุมประท้วงเรียกร้องสิทธิ์ที่ลานกว้างบริเวณสถานีรถไฟไทเป (ภาพจาก udn.com)

           ประเด็นนี้ กระทรวงแรงงานตอบว่า ตามกฎระเบียบประกันภัยแรงงานในปัจจุบัน ผู้อนุบาลในครัวเรือนสามารถเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงานได้โดยความร่วมมือจากนายจ้าง ซึ่งกระทรวงจะเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น ส่วนการบังคับให้เข้าร่วมประกันจะต้องมีการพิจารณาแก้ไขกฎหมายประกันภัยแรงงาน และรับฟังความคิดเห็นจากทั้งฝ่ายนายจ้างและแรงงานอย่างรอบคอบ

           ตามข้อกำหนดปัจจุบัน บังคับให้ผู้อนุบาลในครัวเรือนต้องเข้าร่วมประกันอุบัติภัยจากการทำงาน แต่การเข้าร่วมกองทุนประกันภัยแรงงาน ซึ่งจะคุ้มครองอุบัติเหตุนอกงานและการเจ็บป่วย รวมถึงสวัสดิการอื่น ๆ ที่แรงงานพึงมีกลับไม่ได้ใช้วิธีบังคับ ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของนายจ้าง กลุ่มแรงงานซึ่งประกอบไปด้วย NGO และสหภาพแรงงานผู้ใช้แรงงานในครัวเรือนหลายกลุ่มได้ชุมนุมที่หน้ากระทรวงแรงงานพร้อมตะโกนว่า พวกเราต้องการเข้าร่วมประกันภัยแรงงาน ! โดยเน้นย้ำว่า ผู้อนุบาลในครัวเรือนถูกกันออกจากระบบประกันภัย หากเกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย หรือทุพพลภาพ จะไม่มีเงินสนับสนุน และยังไม่มีเงินบำเหน็จรองรับในยามชราภาพ จึงเรียกร้องให้รัฐบาลบังคับให้นายจ้างต้องเอาประกันภัยแรงงานให้กับพวกตนเช่นเดียวกับผู้อนุบาลในองค์กรและแรงงานในภาคการผลิต

2. ข้อควรรู้สำหรับแรงงานไทย : การคุ้มครองและสวัสดิการจากกองทุนประกันภัยแรงงานไต้หวันมีอะไรบ้าง

      สิทธิประโยชน์และการคุ้มครองของระบบประกันภัยแรงงานมี 5 รายการ ได้แก่ สิทธิประโยชน์กรณีตั้งครรภ์ เจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุนอกงาน กรณีสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานหรือทุพพลภาพ สวัสดิการเงินบำเหน็จชราภาพและเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต ซึ่งยังแบ่งเป็นเงินทดแทนกรณีผู้เอาประกันหรือตัวแรงงานเองเสียชีวิตกับเงินสงเคราะห์กรณีญาติในสายเลือดตรงเสียชีวิต ดูรายละเอียดโดยย่อจากตารางดังต่อไปนี้ :

3. เหิมเกริม! แก๊งคอลเซนเตอร์โฆษณาบนโซเชียลรับซื้อบัญชีธนาคารของแรงงานต่างชาติ เวียดนามหนักสุด ตำรวจหาทางแก้ปัญหาด่วน

      ปัญหาบัญชีม้านับวันรุนแรงขึ้น บนสื่อโซเชียลโดยเฉพาะเฟซบุ๊กและติกต็อก ลงโฆษณาเกลื่อน ด้วยข้อความที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย อย่างรับซื้อไม่อั้น บัญชีละหลักหมื่น แรงงานไทยจำนวนมากสะท้อนปัญหานี้ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า โฆษณาที่เป็นภาษาไทยที่เห็นว่ามีเยอะมากนั้น เทียบไม่ได้เลยกับโฆษณาที่เป็นภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาเวียดนาม

แก๊งคอลเซนเตอร์โฆษณาบนโซเชียลรับซื้อบัญชีธนาคารของแรงงานต่างชาติ ภาษาเวียดนามหนักสุด

      กลุ่มมิจฉาชีพมักใช้บัญชีธนาคารที่เปิดในชื่อผู้อื่นเพื่อรับและโอนเงินที่ได้จากการหลอกลวงต้มตุ๋น หลังจากที่ตำรวจประชาสัมพันธ์และดำเนินการจับกุมอย่างเข้มงวด ขบวนการมิจฉาชีพก็ปรับตัวหันมาใช้บัญชีของแรงงานต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่นครเถาหยวน ซึ่งมีจำนวนแรงงานต่างชาติมากที่สุดในไต้หวัน พบโฆษณาเชิญชวนแรงงานต่างชาติขายบัญชีธนาคารและบัตร ATM เป็นภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาเวียดนาม ผ่านโซเชียลมีเดียจำนวนมาก บางบัญชีสามารถขายได้ในราคาสูงถึงหลักหมื่นเหรียญไต้หวัน

ตำรวจทลายแก๊งแรงงานเวียดนามกว่า 20 คนรับซื้อ ATM และบัญชีม้าจากแรงงานต่างชาติขายต่อให้แก๊งมิจฉาชีพนำไปก่อคดี (ภาพจาก tw.nextapple.com)

      จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบโฆษณาหลายรายการที่มีข้อความเชิญชวนแรงงานต่างชาติที่กำลังจะเดินทางกลับประเทศ ให้นำบัตร ATM และบัญชีธนาคารมาขายให้กับกลุ่มผู้รับซื้อ โดยอ้างว่า “หากทำงานครบ 3 ปีและจะกลับประเทศ บัตร ATM  อย่าทิ้ง หนึ่งใบหรือหนึ่งบัญชี สามารถขายได้ขั้นต่ำ 3,000–4,000 เหรียญไต้หวัน” บางรายเสนอซื้อในราคาสูงถึงหลักหมื่น การซื้อขายมักเป็นการนัดเจอเพื่อแลกเปลี่ยนโดยตรง แม้แรงงานต่างชาติหลายคนจะรู้ว่าการกระทำนี้ผิดกฎหมาย แต่กลับไม่ใส่ใจ เนื่องจากเข้าใจว่า เมื่อเดินทางกลับประเทศแล้วจะไม่ต้องรับผิดชอบใด ๆ หลายคนกล่าวว่า “ถูกออกหมายจับก็ไม่เป็นไร เพราะคงไม่กลับมาอีกแล้ว” กลายเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ขบวนการอาชญากรรมแฝงตัวได้ง่าย และเป็นจุดอ่อนในการปราบปรามของเจ้าหน้าที่

ตำรวจทลายแก๊งแรงงานเวียดนามกว่า 20 คนรับซื้อ ATM และบัญชีม้าจากแรงงานต่างชาติขายต่อให้แก๊งมิจฉาชีพนำไปก่อคดี (ภาพจาก cdns.com.tw)

      ตำรวจเถาหยวนเปิดเผยว่า ได้เสนอแนะต่อสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมให้เร่งแก้ไขกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีธนาคารของแรงงานต่างชาติ ควรมีการกำกับดูแลจากธนาคารอย่างเข้มงวด ตรวจสอบตัวตนและวัตถุประสงค์ของการเปิดบัญชีอย่างละเอียด พร้อมจัดตั้งระบบแจ้งเตือนธุรกรรมที่น่าสงสัย ตำรวจเน้นว่า ท่ามกลางแนวโน้มการฉ้อโกงในกลุ่มแรงงานต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้น ธนาคารควรเพิ่มขั้นตอนการยืนยันตัวตนของลูกค้าในระหว่างการเปิดบัญชีเพื่อป้องกันปัญหาบัญชีม้า พร้อมกับจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักในหมู่แรงงานต่างชาติ ให้ทราบถึงพิษภัยความเสี่ยงและผลทางกฎหมายของการขายบัญชีให้กลุ่มมิจฉาชีพ ก็คงจะต้องหามาตรการที่ได้ผลมากกว่านี้มาแก้ปัญหา เพราะปัญหานี้มันลามไปทั่วและเป็นมานานพอสมควรแล้วนะครับ

4. แรงงานเวียดนามล็อกบัญชีธนาคารไว้ในลิ้นชัก แต่ตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซนเตอร์โดยไม่รู้ตัว ศาลเปลี่ยนคำพิพากษาไม่เนรเทศหลังชดใช้ค่าเสียหาย

      นายเหงียน แรงงานเวียดนามที่ทำงานอยู่ในเมืองจางฮั่ว ถูกแก๊งคอลเซนเตอร์นำบัญชีไปใช้เพื่อรับเงินจากการหลอกลวงผู้เสียหาย ทำให้ชาวไต้หวัน 3 ราย ซึ่งมีทั้งอาศัยอยู่ในเมืองจางฮั่า เถาหยวน และไทจง โอนเงินเข้าบัญชีของเขาโดยไม่รู้ตัว และต่อมาได้แจ้งความกับตำรวจ

      เจ้าหน้าที่ได้ติดตามจนสามารถจับกุมตัวนายเหงียน พร้อมตรวจยึดหลักฐานเป็นบัตร ATM และใบพนักงานบริษัท ก่อนส่งดำเนินคดี นายเหงียนให้การว่า ขณะเตรียมตัวกลับเวียดนามเมื่อปีที่แล้ว ได้วางบัตร ATM และกระดาษจดรหัสไว้ในลิ้นชักห้องพักโดยประมาท ไม่ทราบว่าใครนำไปมอบให้กับขบวนการมิจฉาชีพ เขายืนยันว่าไม่รู้เรื่องและตกเป็นเหยื่อเช่นกัน

สื่อประชาสัมพันธ์เตือนแรงงานต่างชาติอย่าให้ใครยืมใช้หรือขายบัญชีธนาคารจากสำนักงานตำรวจ

      ในการพิจารณาคดีของชั้นต้นจางฮั่ว พิพากษาว่านายเหงียนมีความผิดฐานฟอกเงิน ตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินมาตรา 14 วรรคหนึ่ง ระวางโทษจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 เหรียญไต้หวัน และมีคำสั่งเนรเทศหลังพ้นโทษ นายเหงียนไม่พอใจคำตัดสิน จึงยื่นอุทธรณ์ อย่างไรก็ตาม ในชั้นอุทธรณ์ ศาลพิจารณาว่า นายเหงียนไม่มีประวัติอาชญากรรม ยอมรับผิดในภายหลัง และได้ยืมเงินจากนายจ้างเพื่อนำไปชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายแล้วทั้ง 3 ราย พร้อมทำข้อตกลงยอมความสำเร็จ ศาลยังพิจารณาถึงฐานะทางเศรษฐกิจที่ยากลำบาก และเห็นว่าความผิดมีลักษณะเบาบาง ไม่ได้กระทำโดยเจตนาแน่ชัด

      ศาลจึงมีคำพิพากษาให้ยกเลิกคำตัดสินเดิม เปลี่ยนเป็นปรับเงิน 20,000 เหรียญไต้หวัน และให้รอลงอาญาเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่ต้องเนรเทศออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลว่า หากถูกเนรเทศ อาจส่งผลกระทบต่อการทำงาน และความสามารถในการชำระหนี้ ซึ่งอาจทำให้ครอบครัวของจำเลยต้องเผชิญกับความยากลำบาก จึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องเนรเทศ

為提供您更好的網站服務,本網站使用cookies。

若您繼續瀏覽網頁即表示您同意我們的cookies政策,進一步了解隱私權政策。 

我了解