1. ยอดโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างชาติพุ่ง ครึ่งปีแรกแตะ 63,000 ล้านเหรียญไต้หวัน คาดทั้งปีสูงกว่าปีก่อน
คณะกรรมการกำกับดูแลสถาบันการเงิน (FSC) ของไต้หวันเปิดเผยสถิติว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2568 มูลค่าธุรกรรมการโอนเงินกลับประเทศแบบรายย่อยหรือแบบผ่านแอปพลเคชันของแรงงานต่างชาติในครึ่งปีแรกปีนี้ มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 60,274 ล้านเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
6 เดือนแรกปีนี้ แรงงานต่างชาติโอนเงินกลับบ้านผ่านแอปของผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต มีมูลค่ารวม 60,274 ล้านเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49%
FSC ระบุว่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีบริษัทโอนเงินที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการโอนเงินต่างประเทศสำหรับแรงงานต่างชาติทั้งหมด 5 ราย จำนวนลูกค้ารวมประมาณ 870,000 ราย โดยคาดว่ามูลค่าการโอนเงินของแรงงานต่างชาติตลอดทั้งปีนี้จะสูงกว่า 84,189 ล้านเหรียญไต้หวันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากการที่บริษัทต่าง ๆ ขยายบริการอย่างต่อเนื่อง และแรงงานต่างชาติมีความคุ้นเคยกับวิธีการโอนเงินรูปแบบนี้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณธุรกรรมเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

6 เดือนแรกปีนี้ แรงงานต่างชาติโอนเงินกลับบ้านผ่านแอปของผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาต มีมูลค่ารวม 60,274 ล้านเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49%
ข้อมูลสถิติของ FSC ชี้ว่า ครึ่งปีแรกของปี 2568 มูลค่าธุรกรรมโอนเงินต่างประเทศรายย่อยของแรงงานต่างชาติรวม 60,274 ล้านเหรียญไต้หวัน เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับปีก่อน โฆษก FSC ระบุว่า ในปี 2567 ยอดรวมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 84,200 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ปีนี้เพียงครึ่งปีแรกก็เกือบแตะ 60,300 ล้านเหรียญแล้ว คาดว่าตลอดทั้งปีจะสูงกว่าปีที่แล้ว ปัจจัยสำคัญคือการขยายธุรกิจของบริษัทโอนเงินและการที่แรงงานต่างชาติคุ้นเคยกับโอนเงินผ่านแอปมากขึ้น โดยปัจจุบัน FSC อนุญาตผู้ให้บริการโอนเงินแบบรายย่อยผ่านแอปสำหรับแรงงานต่างชาติแล้ว 5 ราย ได้แก่ Qpay, Digital Idea, Thaimoney, May God และ Remitech Finance International โดยในจำนวนนี้มีเพียง Qpay และ Thaimoney ที่เปิดให้บริการโอนเงินผ่านแอปแก่แรงงานไทย ส่วน May God อยู่ระหว่างเตรียมการให้บริการแรงงานไทย และเพื่อให้แรงงานต่างชาติมีโอกาสเลือกใช้บริการมากขึ้น FSC ระบุว่า ยังมีผู้ให้บริการอีกหลายรายที่อยู่ระหว่างยื่นขอ

แรงงานไทยในโรงงานเย็บผ้าที่นิคมอุตสาหกรรมกุยซาน นครเถาหยวน (ภาพจาก Rti)
ทั้งนี้ FSC ได้ประกาศและบังคับใช้ข้อกำหนดการจัดการธุรกรรมโอนเงินต่างประเทศแบบรายย่อยสำหรับแรงงานต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 ทำให้แรงงานต่างชาติสามารถใช้บริการบริษัทโอนเงินที่ได้รับอนุญาตเพื่อส่งรายได้จากการทำงานในไต้หวันกลับประเทศบ้านเกิดได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แทนการโอนเงินผ่านช่องทางผิดกฎหมายที่มีความเสี่ยงสูง

แรงงานไทยในไซต์งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว เถาหยวน (ภาพจากกองบริหารรถไฟฟ้า นครเถาหยวน)
นางสาวเซี่ยงสูเหวิน หัวหน้าฝ่ายระบบชำระเงินและธุรกรรมหลักทรัพย์ของ FSC อธิบายว่า บริษัทที่ได้รับอนุญาตสามารถใช้แอปตรวจสอบบัตรถิ่นที่อยู่หรือบัตร ARC ของแรงงานต่างชาติได้โดยไม่ต้องให้ลูกค้าไปที่เคาน์เตอร์ธนาคาร โดยแรงงานต่างชาติสามารถทำรายการโอนเงินผ่านแอปของผู้ให้บริการ เมื่อไปจ่ายเงินที่ร้านสะดวกซื้อแล้ว ระบบจะโอนเงินกลับประเทศได้โดยตรงทันทีผ่านธนาคารคู่ค้าในประเทศปลายทาง ทำให้การโอนเงินรวดเร็วไม่ต้องรอเหมือนการโอนเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร

แรงงานไทยในไซต์งานก่อสร้างสถานีซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าที่ถูเฉิง นครนิวไทเป
อย่างไรก็ตาม การโอนเงินผ่านแอปดังกล่าวจะเป็นแบบทางเดียวเท่านั้น คือจากไต้หวันไปยังประเทศปลายทาง และมีการจำกัดจำนวนเงิน โดยกำหนดให้แต่ละรายการไม่เกิน 30,000 เหรียญไต้หวัน จำกัดเดือนละไม่เกิน 50,000 เหรียญ หากแรงงานต้องการโอนเกินจำนวนดังกล่าว จะต้องใช้บริการผ่านแอปของหลายบริษัท แต่รวมทั้งปีไม่เกิน 500,000 เหรียญ
FSC ระบุว่า ปัจจุบันไต้หวันมีแรงงานต่างชาติประมาณ 830,000 คน โดยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 20,000–30,000 เหรียญ หากทุกคนโอนเงินกลับบ้านเดือนละ 10,000 เหรียญ จะรวมเป็นเงินถึง 8,300 ล้านต่อเดือน หรือมากกว่า 85,000 ล้านเหรียญต่อปี

แรงงานไทยในไซต์งานก่อสร้างสะพานตั้นเจียง (ภาพจาก Kung Sing Engineering Corporation)
อย่างไรก็ตาม ยอดจำนวนเงินที่อนุญาตให้โอนกลับประเทศข้างต้น จำกัดเฉพาะบริษัทรับโอนเงินแบบรายย่อยสำหรับแรงงานต่างชาติที่โอนผ่านแอปเท่านั้น ไม่รวมการไปโอนเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ซึ่งสามารถโอนได้เช่นกันและไม่นับรวมยอดจำนวนเงินที่อนุญาตให้โอนกลับประเทศผ่านแอปพลิเคชัน เพียงแต่ว่าการโอนในจำนวนที่มากกว่ารายได้ ธนาคารจะให้แสดงหลักฐานแหล่งที่มาของเงิน เช่นเงินชดเชยจากกองทุนประกันภัยแรงงาน เงินโบนัสจากนายจ้างหรือหลักฐานแสดงการทำโอทีในเดือนนั้น ๆ เนื่องจากการไปโอนเงินผ่านเคาน์เตอร์ธนาคาร ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบธนาคารและกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
2. แรงงานไทยซดเบียร์ 3 ขวด เมาแล้วขี่รถจักรยานไฟฟ้าพาเพื่อนชนรถเก๋ง ศาลไต้หวันสั่งจำคุก 3 เดือน ปรับอีก 10,000 เหรียญ อนุญาตให้อยู่ทำงานต่อ
เมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ศาลท้องถิ่นเหมียวลี่ มีคำพิพากษาลงโทษนายไพศาล (นามสมมติ) แรงงานไทย จำคุก 3 เดือน และปรับเป็นเงิน 10,000 เหรียญไต้หวัน หลังจากถูกจับกุมในคดีเมาแล้วขับเมื่อปลายปีที่ผ่านมา โดยศาลให้สิทธิจำเลยสามารถชำระค่าปรับแทนโทษจำคุกหรือทำงานบริการสังคมแทนการจำคุกได้ในอัตราค่าปรับ 1,000 เหรียญต่อ 1 วัน รวมทั้งหมดต้องจ่าย 100,000 เหรียญ

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 9 ธันวาคมปีที่แล้ว นายไพศาล ซึ่งเป็นแรงงานไทยทำงานอยู่ที่เมืองเหมียวลี่ ได้ดื่มเบียร์จำนวน 3 ขวดในห้องพักตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 17.00 น. และหลังจากนั้นสองชั่วโมงเศษ ได้ขี่รถจักรยานไฟฟ้าออกจากหอพัก พร้อมเพื่อนแรงงานไทยอีกคนหนึ่งเพื่อไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อ ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุที่ทางแยกชนเข้ากับรถยนต์ส่วนบุคคลที่มีนายหลิน ชายชาวไต้หวันเป็นผู้ขับขี่ ส่งผลให้นนายไพศาลและเพื่อนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่มีการร้องทุกข์เอาผิดจากคู่กรณี

อาคารที่ทำการของศาลท้องถิ่นเหมียวลี่
เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับแจ้งเหตุเดินทางมาตรวจสอบและทำการวัดระดับแอลกอฮอล์ พบนายไพศาลมีค่าแอลกอฮอล์ในลมหายใจสูงถึง 0.36 มิลลิกรัมต่อลิตร เกินกว่าค่ามาตรฐานทางกฎหมายที่กำหนดไว้ 0.15 มิลลิกรัมต่อลิตร จึงควบคุมตัวในข้อหากระทำผิดเกี่ยวกับความปลอดภัยสาธารณะ ส่งเรื่องให้อัยการดำเนินคดีต่อไป

อาคารที่ทำการของศาลท้องถิ่นเหมียวลี่
นายไพศาลได้ยอมรับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในระหว่างสอบปากคำว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนได้ดื่มเบียร์ไต้หวัน 3 ขวด อัยการจึงยื่นคำร้องต่อศาลให้ตัดสินด้วยกระบวนการพิจารณาอย่างง่าย ศาลท้องถิ่นเหมียวลี่พิจารณาเห็นว่า รัฐบาลไต้หวันได้รณรงค์และตักเตือนเรื่องอันตรายจากการเมาแล้วขับมาอย่างต่อเนื่อง แต่จำเลยกลับเพิกเฉยต่อกฎหมาย และยังทำให้เกิดอุบัติเหตุซึ่งอาจเป็นภัยต่อความปลอดภัยสาธารณะ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าจำเลยให้การรับสารภาพ รู้สึกสำนึกผิด และไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน ศาลจึงมีคำพิพากษาให้จำคุก 3 เดือน และปรับเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์ไต้หวัน โดยสามารถแปลงโทษเป็นการเสียค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนได้ ในอัตรา 1,000 ดอลลาร์ไต้หวันต่อ 1 วัน

ทั้งนี้ ศาลยังได้พิจารณาถึงสถานะจำเลยในฐานะแรงงานต่างชาต เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องมีคำสั่งเนรเทศออกนอกประเทศ เพื่อให้สามารถพำนักและทำงานในไต้หวันต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม ศาลได้เน้นย้ำว่าการจะได้รับสิทธิเสียค่าปรับแทนการจำคุกจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การพิจารณาและอนุมัติจากอัยการผู้รับผิดชอบการบังคับคดี

ตำรวจเตือนแรงงานไทย เมาไม่ขับ ราบรื่น ปลอดภัย
พิษภัยจากการดื่มสุรานั้น นอกจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว ยังเป็นภัยคุกคามสุขภาพอย่างร้ายแรง เป็นปัญหาใหญ่ของแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานไทย โทษของการเมาแล้วขับในไต้หวันถือว่ารุนแรงมาก เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับความปลอดภัยสาธารณะ และมีการแก้ไขกฎหมายให้เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากอันตราย อาจทำให้บาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิตแล้ว ยังต้องเสียค่าปรับแพง ถูกเนรเทศส่งกลับประเทศ และเตือนด้วยว่า ใครที่ถูกเนรเทศเพราะคดีเมาแล้วขับ โอกาสจะกลับเข้าสู่ไต้หวันน้อยมาก ไม่เหมือนกับแรงงานหลบหนีถูกจับส่งกลับบ้าน ถูกแบล็กลิสต์ห้ามเข้าไต้หวันสูงสุด 7 ปี เมาแล้วขับจะถูกห้ามถาวรเลย และโทษเมาแล้วขับ ตามกฎหมายการจราจรทางบกและการลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรของไต้หวัน ฉบับล่าสุดในปี 2567 แบ่งความรุนแรงพฤติกรรมเมาแล้วขับออกเป็น 2 ระดับ ได้แก่

ตำรวจฮัวเหลียนประชาสัมพันธ์ตามโรงงานต่าง ๆ เมาไม่ขับ เคารพกฎจราจรและสวมหมวกกันน็อก (ภาพจากสถานีตำรวจฮัวเหลียน)
1. โทษปรับ 15,000-90,000 เหรียญไต้หวัน สำหรับผู้ที่ดื่มสุราแล้วขับขี่รถจักรยานไฟฟ้าหรือรถมอเตอร์ไซค์ ถูกตรวจพบและเป่าลม มีระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจ 0.15 มิลลิกรัม/ลิตรขึ้นไป แต่ถ้าขับรถยนต์ ค่าปรับ 30,000-120,000 เหรียญ ถูกยึดใบขับขี่ 1-4 ปี และหากทำผิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง รถจักรยานไฟฟ้าและมอเตอร์ไซค์เริ่มต้นปรับที่ 90,000 เหรียญ รถยนต์ปรับที่ 120,000 เหรียญ ทำผิดซ้ำซากครั้งที่ 3 ขึ้นไป จะเพิ่มค่าปรับอีกครั้งละ 90,000 เหรียญ ยึดใบขับขี่ตลอดไป กรณีปฏิเสธเป่าลม ค่าปรับเริ่มต้นที่ 180,000 เหรียญ ยึดใบขับขี่ตลอดชีพ คนที่ซ้อนท้ายหรือนั่งร่วมไปในรถคันเดียวกันก็มีโทษปรับเช่นกัน 6,000-15,000 เหรียญ ฐานไม่ห้ามปราม
2. โทษอาญา วัดระดับแอลกอฮอล์ในลมหายใจได้ 0.25 มิลลิกรัม/ลิตรขึ้นไป เมาแล้วขับอย่างเดียวไม่ได้เกิดอุบัติหรือชนคนบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จำคุกไม่เกิน 3 ปีและปรับไม่เกิน 300,000 เหรียญไต้หวัน แต่หากเมาแล้วขับชนคนบาดเจ็บสาหัส มีโทษจำคุก 1 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 7 ปี ปรับ 1,000,000 เหรียญไต้หวัน ชนคนเสียชีวิต มีโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 10 ปี ปรับ 2,000,000 เหรียญไต้หวัน กรณีทำผิดซ้ำชนคนบาดเจ็บสาหัส จำคุก 3 ปีขึ้นไป ไม่เกิน 10 ปี ปรับ 2,000,000 เหรียญไต้หวัน แต่หากชนคนเสียชีวิตจำคุก 5 ปีขึ้นไป ปรับ 3,000,000 เหรียญไต้หวัน
3. รวบแรงงานเวียดนามตั้งแก๊งลอบตัดไม้หวงห้ามกว่า 1.2 ตัน ไม้พันปีในหนานโถวถูกตัดใกล้โค่น อัยการสั่งฟ้องทั้งผู้ตัดและผู้รับซื้อ 23 คน โทษติดคุกสูงสุด 10.5 ปี ปรับไม่เกิน 20 ล้านเหรียญ
นายเหงียน แรงงานหลบหนีชาวเวียดนาม ได้ร่วมกับเพื่อนร่วมชาติ จัดตั้งขบวนการลักลอบตัดไม้ล้ำค่าในพื้นที่ป่าไม้ของรัฐ ในตำบลเหรินอ้าย เมืองหนานโถว โดยได้ตัดไม้หอมฮิโนกิหรือต้นสนไซเปรส เพื่อนำไปขายผ่านชายชาวไต้หวันและเครือข่ายผู้รับซื้อ รวมมูลค่าความเสียหายราว 25 ล้านเหรียญไต้หวัน หลังเฝ้าติดตามและตรวจสอบนานหลายเดือน ในที่สุดตำรวจป่าไม้จับได้ยกแก๊ง ทั้งแก๊งลักลอบตัดไม้และขบวนการรับซื้อไม้หวงห้ามรวมจำนวน 23 คน สำนักงานอัยการหนานโถวดำเนินคดีสั่งฟ้องศาลแล้ว

ต้นไม้หอมฮิโนกิหรือต้นสนไซเปรส อายุนับพันปีในป่าลึกเมืองหนานโถวหลายต้น ถูกแก๊งแรงงานเวียดนามใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดที่ลำต้นจวนจะโค่นอยู่แล้ว (ภาพจากสำนักงานอัยการหนานโถว)
โฆษกตำรวจป่าไม้แถลงว่า คดีนี้เริ่มจากเมื่อต้นปีนี้ นักท่องเที่ยวที่ปีนเขาในเมืองหนานโถว พบว่ามีไม้สนฮิโนกิ ซึ่งถือเป็นไม้หวงห้ามอายุเป็นพันปีหลายต้นถูกลักลอบตัดที่ลำต้นจวนจะโค่นอยู่แล้ว จึงรีบแจ้งกรมป่าไม้และตำรวจเข้าติดตามสืบสวน ตำรวจจึงตั้งคณะทำงานพิเศษติดตามนานหลายเดือน กระทั่งในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่กว่า 80 นาย เข้าตรวจค้นพื้นที่ 17 แห่งในเมืองหนานโถว จางฮั่ว และไทจง ทลายแก๊งมอดไม้กลุ่มนี้ สามารถจับกุมขบวนการลักลอบตัดไม้ที่มีนายเหงียน แรงงานเวียดนามผิดกฎหมายดังกล่าว และนายอู๋ ชายชาวไต้หวัน ผู้เป็นหัวหน้าเครือข่ายรับซื้อไม้หวงห้าม รวม 23 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานเวียดนามผิดกฎหมาย 5 คนที่รับผิดชอบตัดไม้หวงห้ามและลำเลียงลงเขา ทั้งหมดถูกส่งตัวไปยังสำนักงานอัยการหนานโถว และเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อัยการได้ยื่นฟ้อง โดยผู้ต้องหาทั้งหมดต้องรับโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี 6 เดือน และปรับไม่เกิน 20 ล้านเหรียญไต้หวัน

ต้นไม้หอมฮิโนกิหรือต้นสนไซเปรส อายุนับพันปีในป่าลึกเมืองหนานโถวหลายต้น ถูกแก๊งแรงงานเวียดนามใช้เลื่อยไฟฟ้าตัดที่ลำต้นจวนจะโค่นอยู่แล้ว (ภาพจากสำนักงานอัยการหนานโถว)
โฆษกตำรวจป่าไม้กล่าวเพิ่มเติมว่า แรงงานเวียดนามกลุ่มนี้ลักลอบตัดไม้ราคาแพง แล้วใช้รถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ลำเลียงลงจากภูเขา หวังหลบเลี่ยงการตรวจสอบ แต่ไม่รอดสายตาของเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าติดตาม ถูกบันทึกภาพไว้ได้ทั้งหมด โดยขบวนการนี้ ได้ทำการลักลอบตัดไม้สนฮิโนกิ หรือต้นสนไซเปรส รวมถึงไม้ที่นำไปแกะสลักเป็นงานศิลป์ รวมแล้วน้ำหนักถึง 1,363 กิโลกรัม พร้อมยึดรถที่ใช้ลำเลียง 4 คัน

ปุ่มไม้ของต้นสนไซเปรสราคาแพงถูกลักลอบนำมาวางขาย (ภาพจากสำนักงานอัยการหนานโถว)
ด้านสำนักงานอัยการหนานโถวระบุว่า กลุ่มผู้ต้องหาลักลอบตัดไม้หวงห้ามในพื้นที่ป่าไม้ของรัฐ บริเวณลุ่มน้ำจั๋วสุ่ยซี ตำบลเหรินอ้าย มาตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2564 จนถึงก่อนถูกจับกุม ไม้ที่ลักลอบตัดจะถูกลำเลียงออกจากป่าเขานำไปขายผ่านเครือข่ายรับซื้ออย่างน้อย 5 ราย โดยมีนายอู๋ ชายชาวไต้หวันเป็นนายหน้าติดต่อหลัก การกระทำผิดเกิดในพื้นที่ป่าลึก ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นแรงงานหลบหนีและมีการเปลี่ยนรถหรือป้ายทะเบียนบ่อยครั้ง ทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างยากลำบาก อย่างไรก็ตาม ตำรวจใช้เวลาร่วมปีในการเก็บหลักฐานจนสามารถจับกุมได้สำเร็จ

ท่อนไม้หอมฮิโนกิที่ตำรวจยึดได้ (ภาพจากสำนักงานอัยการหนานโถว)
สำนักงานอัยการหนานโถวเปิดเผยว่า แก๊งมอดไม้กลุ่มนี้มีการแบ่งหน้าที่อย่างเป็นระบบ โดยมีแรงงานเวียดนาม 5 คนขึ้นไปสร้างเพิงพักในป่า ลักลอบตัดไม้หอมฮิโนกิ แล้วลำเลียงลงเขา ก่อนส่งต่อให้นายอู๋และผู้ต้องหาไต้หวันรายอื่น ๆ แปรรูปและจำหน่ายต่อให้ร้านงานไม้และร้านงานศิลป์ในภาคกลาง ตำรวจจึงดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายป่าไม้ สำนักงานอัยการหนานโถวยื่นฟ้องต่อศาลในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

ตำรวจจับแรงงานเวียดนามที่ลักลอบตัดไม้หวงห้าม (ภาพจากสำนักงานอัยการหนานโถว)
สำนักงานอัยการหนานโถวระบุว่า แม้หนานโถวจะมีทรัพยากรป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่ปัญหาลักลอบตัดไม้ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและจับกุมได้ยาก อย่างไรก็ตาม สำนักงานอัยการจะยังคงยืนหยัดปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสืบสวนและดำเนินคดีกับผู้ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างเด็ดขาด
นายหวงข่ายลั่ว หัวหน้ากองจัดการป่าของสำนักอนุรักษ์ป่าไม้สาขาหนานโถวกล่าวว่า ผู้ที่ลักลอบตัดไม้ล้ำค่ามีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี 6 เดือน และปรับตั้งแต่ 1 ล้านถึง 20 ล้านเหรียญไต้หวัน ขอเตือนแรงงานต่างชาติและชาวไต้หวันอย่าได้ฝ่าฝืนกฎหมาย

ด้านกรมป่าไม้ยังระบุเพิ่มเติมว่า มีการแก้ไขกฎหมายป่าไม้เมื่อปี 2564 โดยกำหนดโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี 6 เดือน และปรับไม่เกิน 20 ล้านดอลลาร์ไต้หวัน พร้อมทั้งขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการซื้อผลิตภัณฑ์ไม้ที่ไม่ทราบแหล่งที่มา และเลือกสินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ "ไม้ไต้หวัน" เพื่อเป็นการสกัดกั้นการลักลอบตัดไม้ตั้งแต่ต้นทาง