เมื่อวันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา นายจางซ่านเจิ้ง ผู้ว่าการนครเถาหยวน ได้เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการเล่นแบบธรรมชาติ (自然遊戲推廣活動) ที่สวนสาธารณะต้าหนานเซินหลิน เขตปาเต๋อ ซึ่งได้รับความสนใจจากครอบครัวและเด็กๆ มีครอบครัวจำนวนมากลงทะเบียนและเข้าร่วมกิจกรรม บอกเลยว่าบรรยากาศคึกคักมาก เพราะมีทั้งเด็กๆ และครอบครัวเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ผู้ว่าการเองก็ลงมาเล่นเกมกับเด็กๆ ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกและอบอุ่น
นายจางซ่านเจิ้งบอกว่า ตั้งแต่ปลายปี 2024 เถาหยวนได้สร้างสนามเด็กเล่นที่มีเอกลักษณ์ในสวนสาธารณะไปแล้ว 7 แห่ง เช่น สวนจงลี่กวงหมิง(中壢光明公園) สวนกีฬาหลงถาน(龍潭運動公園) สวนปาเต๋อเฟิงซู่เจี่ยว(八德楓樹腳公園) สวนกีฬาผิงเจิ้น(平鎮運動公園) สวนเด็กหยางเหมยซื่อเหวย(楊梅四維兒童公園) สวนหยางหมิง(桃園陽明公園) และสวนฮวาซิงฉือ(大園華興池公園) อย่างไรก็ตาม ทางเทศบาลไม่ได้มุ่งเน้นแค่การพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้น แต่ยังต้องการใช้แนวคิดการเล่นแบบธรรมชาติ เพื่อให้สวนสาธารณะกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนทุกช่วงวัย การเล่นในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่ได้จำกัดอายุหรือสถานะ ทุกๆ คน ตั้งแต่ผู้สูงอายุ วัยรุ่น เด็ก ไปจนถึงสมาชิกในครอบครัวต่างรุ่นสามารถสนุกไปด้วยกันได้ ซึ่งนี่คือก้าวสำคัญสู่การเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับทุกช่วงวัย

สวนสาธารณะจงลี่กวงหมิง (photo: fullfenblog.tw)
ทำไมต้องเล่นในธรรมชาติ?
เพราะตอนนี้เด็กๆ ใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากขึ้น จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ภาวะขาดแคลนธรรมชาติ” หรือ Nature Deficit Syndrome ส่งผลต่อทั้งร่างกายและจิตใจ การเล่นกลางแจ้งจึงสำคัญมาก ช่วยให้เด็กๆ ใช้กล้ามเนื้อ ฝึกการคิดสร้างสรรค์ และที่สำคัญคือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย

กองโยธาธิการกล่าวว่า ด้วยความแพร่หลายของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน เด็กๆ จึงเริ่มห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้น จนเกิดภาวะที่เรียกว่า "ภาวะขาดแคลนธรรมชาติ" (大自然缺失症) ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทั้งร่างกายและจิตใจ สวนสาธารณะในเมืองจึงเป็นสถานที่ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงธรรมชาติได้ง่ายที่สุด ทางเทศบาลนอกจากจะให้ความสำคัญกับสิทธิ์ในการเล่นของเด็กๆ เท่านั้น แต่ยังคิดหาวิธีที่จะตอบสนองความต้องการในการเล่นของคนทุกเพศทุกวัยด้วย

Credit :
อย่างที่ต่างประเทศก็มี“อนุบาลในป่า” (Forest Kindergarten) ประเทศที่คุณภาพการศึกษาดีๆ อย่าง กลุ่มยุโรปตอนเหนือ เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก ฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น เริ่มมองเห็นปัญหาของการออกห่างจากธรรมชาติ..จึงหาวิธีดึงเด็กออกจากสิ่งยั่วยุเหล่านี้ ด้วยการจัดเตรียมสถานที่ศึกษาสำหรับเด็กเล็ก .... ให้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้เรียนในป่ามากขึ้น
โรงเรียนอนุบาลสำหรับเด็กๆ วัย 3-6 ขวบ ที่ให้คุณหนูๆ ใช้เวลาเรียนส่วนใหญ่อยู่นอกห้องเรียน (outdoor) ในป่าแบบป่าของจริงๆ ไม่ว่าสภาพอากาศข้างนอก (หนาว-ร้อน-ฝนตก-หิมะตก) จะเป็นอย่างไร เด็กๆ จะได้เล่นเดินทางไกล ได้สำรวจ เพลิดเพลินกับบรรยากาศในป่า หรือธรรมชาติรอบๆ ตัวได้เต็มที่ อาจจะมีเจ็บตัวบ้างอะไรบ้างจากการปีนป่าย ทำกิจกรรม แต่ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็เข้าใจคอนเซ็๋ปต์ของโรงเรียนแนวนี้เป็นอย่างดี คุณครูหรือผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ดูแลจะทำหน้าที่ “ช่วยเหลือ-กระตุ้น” เด็กๆ มากกว่าเป็นผู้สอนหรือผู้นำคลาส หลักๆ คือเด็กมีโอกาสที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองใน่บรรยากาศที่เงียบสงบ กลางธรรมชาติ
เฉพาะที่เยอรมนี ปี 2005 ก็มีอนุบาลประเภทนี้อยู่ประมาณ 450 แห่งทั่วประเทศแล้ว (ผ่านไป 10 ปีแล้ว ลองนึกดูจะเพิ่มมากแค่ไหน) บางที่ก็เป็นโรงเรียนประเภทอยู่กลางแจ้งทั้งวัน บางที่ก็เป็นแบบไฮบริดช่วงเช้าอยู่กลางแจ้ง บ่ายเรียนอยู่ในตึก เลยไม่แปลกใจว่าทำไมคนในประเทศเหล่านี้ถึงนิยมชมชอบการออกไปอยู่ใกล้ชิดและชื่นชมกับธรรมชาติตามป่าเขาหลังเลิกงาน ในวันหยุดหรือการลาพักร้อนยาวๆ

ข้อดีของโรงเรียนประเภทนี้
มีทักษะต่างๆ ดีมาก เช่น ทักษะทางภาษา / มีสมาธิจดจ่อกับอะไรได้นาน / อยากรู้อยากเรียนอะไรใหม่ๆ / มีแรงจูงใจในการเรียนสูง / ทักษะทางกีฬา ดนตรี ศิลปะและความคิดสร้างสรรค์ / ทักษะในการเข้าสังคมดีมาก / ทักษะการเขียน และการใช้อุปกรณ์วาดรูป
และนี่ก็คือสิ่งที่ไต้หวันกำลังพยายามเอาเป็นแบบอย่างและผลักดันให้มีสวนสาธารณะต้นแบบในการเล่นหรือเรียนรู้ท่ามกลางธรรมชาติมากขึ้น เรามารอติดตามดูว่าหลังจากนี้โครงการเหล่านี้จะประสบความสำเร็จและขยับขยายได้มากเพียงใด