ธีระ หยาง 亓淞และเจาะลึกกีฬาโลก 體育世界ประจำสัปดาห์นี้ (2025-09-25)

- หลังจากที่ไต้จืออิ่ง หรือ ต่าย ที่ถือเป็นราชินีลูกขนไก่ของไต้หวัน เมื่อปีที่แล้วต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บรุนแรงที่หัวเข่า แม้เธอเคยหลุดปากพูดถึงความเป็นไปได้เรื่องแขวนแร็กเก็ต แต่ก็ไม่เคยบอกลาอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งแต้มสะสมจากการแข่งขันฮ่องกงโอเพ่นหมดอายุลง ล่าสุดแต้มในอันดับโลกของเธอจึง “กลายเป็นศูนย์” อย่างเป็นทางการแล้ว ข่าวนี้ทำให้ กิล คลาร์ก (Gill Clark) หรือที่แฟนแบดมินตันรู้จักกันในชื่อ “แม่คลาร์ก” นักวิจารณ์ระดับตำนานของอังกฤษ ออกมาเขียนบทความยกย่องไต้จืออิ่งอย่างลึกซึ้ง เธอยกให้ไต้จืออิ่งเป็น “นักแบดมินตันหญิงเดี่ยวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา” แม้จะไม่มีเหรียญทองโอลิมปิกหรือแชมป์โลก แต่ด้วย ศิลปะการเล่นและความสง่างาม ของเธอ ได้ก้าวข้ามสถิติหรือเหรียญรางวัลทั้งปวงว่า เธอมีคุณสมบัติในการ “ทำให้ความยากกลายเป็นเรื่องง่าย” อันเป็นคุณสมบัติของนักกีฬาระดับตำนาน คลาร์กอธิบายว่า ในประวัติศาสตร์กีฬา มีเพียงนักกีฬาส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถยกระดับการแข่งขันกีฬาให้กลายเป็น งานศิลปะ ได้ เธอยกตัวอย่างเช่น โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ (Roger Federer) ราชาเทนนิส, ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) ตำนานบาสเก็ตบอล, ไทเกอร์ วูดส์ (Tiger Woods) ยอดฝีมือกอล์ฟ และมูฮัมหมัด อาลี (Muhammad Ali) ราชากำปั้นผู้เป็นตำนาน นักกีฬาระดับนั้น ล้วนมีคุณสมบัติร่วมกันคือ “ทำให้สิ่งที่ยากที่สุดดูเหมือนง่ายดาย” และสำหรับคลาร์กแล้ว ไต้จืออิ่งก็คือคนที่ทำสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นในโลกของแบดมินตัน โดยเธอกล่าวยกย่องว่า ไต้จืออิ่งเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว ทรงพลัง แต่ขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความสง่างามราวกับนักบัลเลต์ อีกทั้งยังมีเทคนิคที่รอบด้านกว่านักแบดหญิงทุกคน ทำให้เธอสามารถเล่นลูกหลอกสุดเหนือชั้น และมีลูกตีที่ทำให้ผู้ชมต้องตะลึงนับไม่ถ้วน โดยที่คลาร์กยังอ้างถึงคำกล่าวสุคลาสสิกที่พูดถึงมูฮัมหมัด อาลีที่ว่า “พริ้วไหวเหมือนผีเสื้อ ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง” และบอกว่านี่คือคำที่อธิบายตัวตนของไต้จืออิ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ไต้จืออิ่งจะพลาดเหรียญทองโอลิมปิกและตำแหน่งแชมป์โลกมาโดยตลอด แต่คลาร์กย้ำว่า สิ่งเหล่านี้ไม่เคยลดทอนความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของเธอในโลกแบดมินตันเลย และเธอจะเป็น "ตำนาน" ตลอดไป (ภาพจาก Badminton Photo) 

- การแบดมินตันรายการ ไชน่า มาสเตอร์ส 2025 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 1.25 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 40 ล้านบาท ที่แข่งขันกันที่เมืองเซินเจิ้น ของจีนแผ่นดินใหญ่ โดยในรอบชิงชนะเลิศมีนักกีฬาจากไทยและไต้หวันผ่านเข้ามาได้ 2 ประเภท ในส่วนของไต้หวัน คือ หลินจวิ้นอี้ เจ้าของฉายาซ้ายปืนใหญ่ ที่ได้เข้าชิงฯ ในประเภทชายเดี่ยว โดยพบกับองหงหยาง หนุ่มเจ้าถิ่น มือวางอันดับ 12 ของโลก ปัจจุบัน หลินจวิ้นอี้ รั้งอันดับ 15 ของโลก เคยคว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรีส์ครั้งแรกจาก อเมริกา โอเพ่น 2019 จากนั้นครองแชมป์ ไทยแลนด์มาสเตอร์ส, สวิตเซอร์แลนด์ โอเพ่น และ ไทเป โอเพ่น เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นรายการในระดับ Super 300 ส่วนการแข่งในสัปดาห์นี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เขาผ่านเข้าสู่รอบชิงระดับ Super 750 ตลอดทัวร์นาเมนต์นี้ หลินจวิ้นอี้ โชว์ฟอร์มโดดเด่น ไล่โค่นนักแบดมือวางระดับท็อปไม่ว่าจะเป็นมือวางอันดับ 5 โจนาธาน คริสตี (อินโดนีเซีย), มืออันดับ 4 หลี่ซื่อเฟิง (จีน) และแม้แต่มือวางอันดับ 2 อย่าง แอนเดอร์ส อันตอนเซน (เดนมาร์ก) ก็พ่ายให้กับเขาอย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนแมตช์นี้ หลินจวิ้นอี้ มีสถิติพบกับ องหงหยาง เป็นรองอยู่ที่ 1 ชนะ 4 แพ้ และในเกมวันนี้แม้พยายามเกาะคะแนนสูสี แต่หลังจากพักเบรกเทคนิคในทั้งสองเกม กลับเกิดความผิดพลาดบ่อยครั้ง เปิดโอกาสให้คู่แข่งทำแต้มต่อเนื่อง จบลงด้วยความพ่ายแพ้ 11-21 และ 15-21

- ประเภทคู่ผสม รอบชิงชนะเลิศ "บาส" เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ "เฟม" ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือวางอันดับ 4 ของโลก พบกับ เฉินถังเจี๋ย กับ ตู้อี๋เหวย คู่มืออันดับ 3 ของโลกจากมาเลเซีย และ แชมป์โลกปี 2025 ซึ่งสถิติการพบกันของทั้งคู่ 4 ครั้ง เป็นคู่ของ "บาส" เดชาพล กับ "เฟม" ศุภิสรา ทำได้เหนือกว่าเอาชนะไปได้ 3 ครั้ง ซึ่งผลปรากฎว่า "บาส" เดชาพล กับ "เฟม" ศุภิสรา เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด ด้วยสกอร์ 21-8 และ 21-17คว้าแชมป์ในศึกไชน่า มาสเตอร์ส ไปครอง และเป็นการคว้าแชมป์รายการที่ 4 ของปีนี้