1. ผู้นำไต้หวันเสนอผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดทางแรงงานสตรีเข้าสู่ตลาด กระทรวงแรงงานเผยอยู่ระหว่างการพิจารณา
วิกฤตเด็กเกิดน้อยและปัญหาสังคมสูงวัยที่ทวีความรุนแรงในไต้หวัน กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านความมั่นคงของรัฐบาล ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ของไต้หวันสาธารณรัฐจีนเสนอแนวทางแก้ปัญหานี้ ด้วยการผ่อนปรนเกณฑ์การจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ โดยระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีบุตร 2 คนขึ้นไปจึงจะอนุญาตให้จ้างได้เหมือนที่ผ่านมา ควรอนุญาตให้ครอบครัวที่มีบุตรเพียงคนเดียวก็สามารถยื่นขอได้ และควรขยายเกณฑ์อายุบุตรจากเดิมไม่เกิน 6 ปี เป็นไม่เกิน 12 ปี เพื่อช่วยให้ครอบครัวโดยเฉพาะสตรีสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้มากขึ้น

ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ เสนอแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ด้วยการผ่อนปรนเกณฑ์การจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดโอกาสสตรีเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น (ภาพจาก CNA)
กระทรวงแรงงานตอบรับข้อเสนอเบื้องต้นว่า การช่วยลดภาระดูแลบุตรของครอบครัวถือเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล และนโยบายเกี่ยวกับผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติยังอยู่ระหว่างการวิจัยและประเมินผล โดยจะรับฟังความคิดเห็นจากสังคมอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ
สถิติจากกระทรวงแรงงาน ณ เดือนกรกฎาคม 2568 มีผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติทำงานอยู่ในไต้หวันจำนวน 2,000 คน ในจำนวนนี้มาจากอินโดนีเซีย 1,456 คน ฟิลิปปินส์ 502 คน เวียดนาม 37 คน ผู้ช่วยงานบ้านชาวไทย 5 คน สำหรับต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างแตกต่างกันไป หากเป็นครอบครัวชาวไต้หวัน นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนคุ้มครองการทำงานของแรงงานท้องถิ่น 5,000 เหรียญไต้หวันต่อเดือนต่อคน ขณะที่ชาวต่างชาติที่พำนักในไต้หวันต้องจ่ายสูงถึง 10,000 เหรียญไต้หวัน ส่วนเงินเดือนของผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติตกอยู่ที่ 20,000 เหรียญไต้หวันขึ้นไป ทั้งนี้ ตำแหน่งผู้ช่วยงานบ้านหรืออาชีพแม่บ้าน ไม่อยู่ในความคุ้มครองของกฎหมายมาตรฐานแรงงานเช่นเดียวกับผู้อนุบาลในครัวเรือน

สตรีไต้หวันจำนวนมากหลังคลอดบุตร จำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูก (ภาพจาก thenewslens.com)
ไล่ชิงเต๋อเปิดเผยแนวคิดนี้ผ่านการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Liberty Times สื่อสิ่งพิมพ์ของไต้หวัน โดยเปรียบเทียบการสานต่อจากรัฐบาลชุดก่อน เช่น โครงการเด็กอายุ 0-6 ปี รัฐร่วมดูแล ของอดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวินที่ถูกยกระดับสู่เวอร์ชัน 2.0 รวมถึงนโยบายการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว 2.0 ที่รัฐบาลปัจจุบันพัฒนาเป็น 3.0 ครอบคลุมทั้งการดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็ก
ตามกฎหมายปัจจุบัน ครอบครัวที่จะยื่นขอว่าจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ ต้องมีคุณสมบัติและเงื่อนไขที่คิดเป็นคะแนนสะสมรวม 16 คะแนน เช่น มีบุตรอายุต่ำกว่า 6 ปี มีญาติสายเลือดตรงอายุเกิน 75 ปีขึ้นไป หรือมีบุตรหลายคนอายุไม่เกิน 12 ปีเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ได้รับการถกเถียงเป็นอย่างมากในสภานิติบัญญัติมาโดยตลอด ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่า จะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานสตรี และเป็นแนวทางที่เร็วที่สุดในการแก้ปัญหาอัตราการเกิดตกต่ำ ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าจะกระทบต่ออาชีพพี่เลี้ยงเด็กและพนักงานดูแลผู้สูงอายุในประเทศ องค์กรสิทธิสตรีและแรงงาน อย่างมูลนิธิ Awakening Foundation องค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีของไต้หวัน และสมาพันธ์แรงงานไต้หวัน องค์กร NGO ที่เรียกร้องสิทธิแรงงาน ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าการผ่อนปรนเกณฑ์จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวรายได้สูงเท่านั้น สร้างความเหลื่อมล้ำ และอาจทำให้ระบบบริการดูแลเด็กที่รัฐลงทุนพัฒนามา ถดถอยกลับสู่รูปแบบพึ่งพาครอบครัวและกลไกตลาดมากเกินไป
ขณะที่ตัวแทนบริษัทจัดหางานมองว่า การเปิดกว้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติคือมาตรการที่รวดเร็วและตรงจุดที่สุดในการรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อย ซึ่งถูกมองว่าเป็น “วิกฤตความมั่นคงแห่งชาติ” ของไต้หวัน
ข้อเสนอของประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อในการผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติดังกล่าว สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการหาทางออกต่อปัญหาสังคมสูงวัยและอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง ขณะที่กระทรวงแรงงานยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาและประเมินผล ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมแรงงานสตรีและการคุ้มครองสิทธิแรงงานในประเทศ
2. ไต้หวันปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนเป็น 29,500 เหรียญ ปรับขึ้น 3.18% รายชั่วโมง 196 เหรียญ แรงงานได้รับอานิสงส์ 2 ล้านคน มีผล 1 ม.ค. 69
เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานเรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีใหม่ หลังถกเครียดเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนเป็น 29,500 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 910 เหรียญ ปรับขึ้นในอัตราส่วน 3.18% ส่วนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงสำหรับแรงงานท้องถิ่นที่ทำงานเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 196 เหรียญ ปรับขึ้น 6 เหรียญ คาดจะมีแรงงาน (รวมแรงงานต่างชาติ) ได้รับอานิสงส์ประมาณ 2,000,000 คน จะประกาศอย่างเป็นทางการหลังจากผ่านการรับรองของสภาบริหารแล้ว โดยมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

การปรับขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลไช่อิงเหวินเข้ารับตำแหน่ง และต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อในปัจจุบัน ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าใน ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนในไต้หวันขยับขึ้นจาก 20,009 เหรียญเป็น 28,590 เหรียญ เพิ่มขึ้นกว่า 70% ส่วน ค่าจ้างรายชั่วโมงปรับจาก 120 เหรียญเป็น 190 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 63.15% ก่อนจะมีมติครั้งล่าสุดปรับขึ้นอีก 3.18% ในปีใหม่ 2569
ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานมองว่า การปรับขึ้นดังกล่าวแม้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของแรงงาน แต่จะเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่ต้องรับต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐบาลยืนยันว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนคุณภาพชีวิตแรงงาน และเป็นสัญญาณสะท้อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจโดยรวม
3. แรงงานฟิลิปปินส์ขายบัญชีธนาคารให้แก๊งมิจฉาชีพก่อนกลับประเทศ แลกเงิน 1 หมื่นเปโซ ถูกจับระหว่างเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน ศาลพิพากษาจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 เหรียญ
แรงงานฟิลิปปินส์รายหนึ่งถูกจับกุมที่ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน หลังขายบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็มและรหัสผ่านให้แก๊งมิจฉาชีพในราคา 10,000 เปโซฟิลิปปินส์ (ประมาณ 5,600 เหรียญไต้หวัน ก่อนจะเดินทางกลับประเทศ แก๊งมิจฉาชีพนำบัญชีม้าดังกล่าวไปใช้ในการฉ้อโกงและฟอกเงิน มีผู้เสียหายชาวไต้หวัน 3 ราย รวมเงินที่เหยื่อสูญเสีย 192,000 เหรียญ ผู้ต้องหารายนี้ชื่อ Orine Romely เดินทางกลับประเทศไปแล้ว แต่ถูกจับได้โดยบังเอิญระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางไปทำงานต่อในประเทศอื่น ตำรวจสกัดจับได้ทันควันและดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในภาพเป็นอาคารที่ทำการของศาลท้องถิ่นซินจู๋ (ภาพจากchinatimes.com )
จากคำพิพากษาของศาลท้องถิ่นซินจู๋ระบุว่า หลังได้รับบัญชีจากแรงงานฟิลิปปินส์ดังกล่าว กลุ่มมิจฉาชีพได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางติดต่อ ชักชวนเหยื่อด้วยข้อความโฆษณาว่าการลงทุนสกุลเงินดิจิทัล ได้กำไรแน่นอน ไร้ความเสี่ยง ทำให้มีผู้เสียหายชาวไต้หวันหลงเชื่อ 3 ราย รวมเงินเสียหาย 192,000 เหรียญไต้หวัน ก่อนถูกถอนออกไปจนหมด ต่อมาผู้เสียหายพบว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความ ตำรวจตรวจสอบพบว่าเงินทั้งหมดถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารไต้หวันของแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้ อัยการจึงสั่งฟ้องเจ้าของบัญชีในข้อหาสมคบคิดช่วยเหลือกลุ่มมิจฉาชีพละเมิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
ศาลท้องถิ่นซินจูระบุในคำพิพากษาว่า ผู้ต้องหาแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้รู้อยู่แล้วว่า การนำบัญชีธนาคารและรหัสผ่านไปให้บุคคลอื่นใช้ อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมฉ้อโกงและฟอกเงิน แต่เธอก็ยังยอมเสี่ยงเพราะเห็นแก่เงิน 10,000 เปโซ และไม่มีแผนจะกลับมาทำงานที่ไต้หวันต่อไป จึงคิดว่าคงไม่มีปัญหา แต่การกระทำดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ยังเพิ่มความยากลำบากให้เจ้าหน้าที่ในการสืบสวนหาตัวหัวหน้าเครือข่ายมิจฉาชีพ อีกทั้งผู้ต้องหาไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้แก่เหยื่อด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับอีก 10,000 เหรียญไต้หวัน โดยระบุว่าหลังพ้นโทษแล้ว จะถูกเนรเทศส่งกลับประเทศทันที
หลังถูกจับ ผู้ต้องหาแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้ถูกควบคุมตัวทันที โดยทนายฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว แต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เธอเป็นชาวต่างชาติ ไม่มีภูมิลำเนาหรือแผนการพำนักระยะยาวในไต้หวัน อีกทั้งยังขาดรายได้ที่มั่นคง จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการหลบหนี หากได้รับการปล่อยชั่วคราวอาจกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดี ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องและให้คุมขังต่อไป
กรณีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการใช้แรงงานต่างชาติเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะการขายหรือมอบบัญชีธนาคารแก่บุคคลอื่น ซึ่งอาจได้รับรายได้เสริมเล็กน้อย แต่กลับนำไปสู่การตกเป็นผู้ต้องหามีส่วนร่วมในอาชญากรรมร้ายแรง ทั้งฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งมีโทษทางอาญาและผลกระทบต่อเสรีภาพของผู้กระทำโดยตรง
4. แรงงานเวียดนามเมายกพวกตีกันกลางตลาดนัดกลางคืนไทจง ตำรวจแกะรอยตามล่าเจอ 5 แรงงานผิดกฎหมาย บางรายถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง
เมื่อเวลา 22.36 น. ของวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุแรงงานต่างชาติ 2 กลุ่มทะเลาะวิวาทกันในตลาดกลางคืนฮั่นซี นครไทจง เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโกลาหลในตลาด มีทั้งการทะเลาะเสียงดัง ฉุดกระชากชกต่อย และทำให้ร้านค้าได้รับความเสียหายบางส่วน ตำรวจพื้นที่ได้รับแจ้งเหตุและรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ แต่เมื่อไปถึงกลุ่มผู้ก่อเหตุได้พากันหลบหนีออกไปแล้ว
จากการสอบถามพยานและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุทั้งหมดเป็นแรงงานสัญชาติเวียดนาม โดยสาเหตุเกิดจากการนั่งดื่มสุราที่ร้านอาหารภายในตลาด แล้วเกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้คู่กรณีไม่พอใจและบานปลายกลายเป็นการชกต่อยกันเป็นหมู่ จนทำให้ข้าวของในร้านค้าเสียหายบางส่วน สถานีตำรวจไทจง จัดตั้งชุดสืบสวนติดตามตัวคนร้าย ทั้งการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด ยานพาหนะ และเทคโนโลยีด้านการสืบสวน จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุม
เมื่อวันที่ 10 กันยายน เวลาประมาณ 19.30 น. ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย อายุตั้งแต่ 21-32 ปี ทั้งหมดเป็นแรงงานเวียดนามหลบหนีนายจ้างกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ระยะเวลาหลบหนีมีตั้งแต่ 1-6 ปี ตำรวจตรวจสอบพบว่า 1 ในจำนวนนี้ ซึ่งหนีนายจ้างมาแล้ว 2 ปี ยังเป็นผู้ต้องหาหนีคดี ถูกอัยการเกาสงออกหมายจับในคดีฉ้อโกงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อน ต่อมาตำรวจตามไปจับกุมผู้ก่อเหตุได้อีก 2 ราย เป็นแรงงานเวียดนามผิดกฎหมายเช่นกัน เพศหญิง 1 รายและเพศชาย 1 ราย
โฆษกสถานีตำรวจไทจงแถลงว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 เป็นเพื่อนกันและอาศัยหลบซ่อนอยู่ในย่านต้าหลี่ ประกอบอาชีพรับจ้างรายวันตามไซต์ก่อสร้างต่าง ๆ เบื้องต้นผู้ต้องหาชายทั้ง 3 รายถูกควบคุมตัวส่งให้อัยการดำเนินคดีในข้อหากระทำผิดฐานร่วมกันทะเลาะวิวาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนในคดีแรงงานผิดกฎหมาย ทั้งหมดถูกส่งตัวให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินคดีตามกฎหมายคนเข้าเมืองและกฎหมายการจ้างงาน
และจากคำให้การของแรงงานผิดกฎหมายกลุ่มนี้ ตำรวจยังตามไปจับกุมผู้รับเหมาย่อยชาวไต้หวันที่ว่าจ้างแรงงานผิดกฎหมายกลุ่มนี้เข้าทำงาน ส่งต่อให้กองแรงงานไทจงพิจารณาลงโทษตามกฎหมายการจ้างงาน
สถานีตำรวจไทจงย้ำว่า จะไม่ถูกปล่อยปละละเลยต่อการกระทำความผิดใด ๆ ที่กระทบความสงบเรียบร้อยในสังคม ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อรักษาความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน