Skip to the main content block
::: หน้าแรก| แผนผังเว็บไซต์| Podcasts|
|
Language

Formosa Dream Chasers - Programs - RTI Radio Taiwan International-logo

รายการ
| รายการล่าสุด
เลือกรายการ
ผู้จัดรายการ ตารางรายการ
ประเด็น (ข่าว) ยอดนิยม
繁體中文 简体中文 English Français Deutsch Indonesian 日本語 한국어 Русский Español ภาษาไทย Tiếng Việt Tagalog Bahasa Melayu Українська แผนผังเว็บไซต์

ขุนพลแรงงานไทย วันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568

ขุนพลแรงงานไทย ผู้นำไต้หวันเสนอผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดทางแรงงานสตรีเข้าสู่ตลาด
ขุนพลแรงงานไทย ผู้นำไต้หวันเสนอผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดทางแรงงานสตรีเข้าสู่ตลาด

1. ผู้นำไต้หวันเสนอผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดทางแรงงานสตรีเข้าสู่ตลาด กระทรวงแรงงานเผยอยู่ระหว่างการพิจารณา

           วิกฤตเด็กเกิดน้อยและปัญหาสังคมสูงวัยที่ทวีความรุนแรงในไต้หวัน กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ด้านความมั่นคงของรัฐบาล ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ ของไต้หวันสาธารณรัฐจีนเสนอแนวทางแก้ปัญหานี้ ด้วยการผ่อนปรนเกณฑ์การจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ โดยระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีบุตร 2 คนขึ้นไปจึงจะอนุญาตให้จ้างได้เหมือนที่ผ่านมา ควรอนุญาตให้ครอบครัวที่มีบุตรเพียงคนเดียวก็สามารถยื่นขอได้ และควรขยายเกณฑ์อายุบุตรจากเดิมไม่เกิน 6 ปี เป็นไม่เกิน 12 ปี เพื่อช่วยให้ครอบครัวโดยเฉพาะสตรีสามารถออกไปทำงานนอกบ้านได้มากขึ้น

ประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อ เสนอแนวทางแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ด้วยการผ่อนปรนเกณฑ์การจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ เปิดโอกาสสตรีเข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น (ภาพจาก CNA)

      กระทรวงแรงงานตอบรับข้อเสนอเบื้องต้นว่า การช่วยลดภาระดูแลบุตรของครอบครัวถือเป็นเป้าหมายสำคัญของรัฐบาล และนโยบายเกี่ยวกับผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติยังอยู่ระหว่างการวิจัยและประเมินผล โดยจะรับฟังความคิดเห็นจากสังคมอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจ

      สถิติจากกระทรวงแรงงาน ณ เดือนกรกฎาคม 2568 มีผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติทำงานอยู่ในไต้หวันจำนวน 2,000 คน ในจำนวนนี้มาจากอินโดนีเซีย 1,456 คน ฟิลิปปินส์ 502 คน เวียดนาม 37 คน ผู้ช่วยงานบ้านชาวไทย 5 คน สำหรับต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างแตกต่างกันไป หากเป็นครอบครัวชาวไต้หวัน นายจ้างต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนคุ้มครองการทำงานของแรงงานท้องถิ่น 5,000 เหรียญไต้หวันต่อเดือนต่อคน ขณะที่ชาวต่างชาติที่พำนักในไต้หวันต้องจ่ายสูงถึง 10,000 เหรียญไต้หวัน ส่วนเงินเดือนของผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติตกอยู่ที่ 20,000 เหรียญไต้หวันขึ้นไป ทั้งนี้ ตำแหน่งผู้ช่วยงานบ้านหรืออาชีพแม่บ้าน ไม่อยู่ในความคุ้มครองของกฎหมายมาตรฐานแรงงานเช่นเดียวกับผู้อนุบาลในครัวเรือน

สตรีไต้หวันจำนวนมากหลังคลอดบุตร จำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูก (ภาพจาก thenewslens.com)

      ไล่ชิงเต๋อเปิดเผยแนวคิดนี้ผ่านการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ Liberty Times สื่อสิ่งพิมพ์ของไต้หวัน โดยเปรียบเทียบการสานต่อจากรัฐบาลชุดก่อน เช่น โครงการเด็กอายุ 0-6 ปี รัฐร่วมดูแล ของอดีตประธานาธิบดีไช่อิงเหวินที่ถูกยกระดับสู่เวอร์ชัน 2.0 รวมถึงนโยบายการดูแลผู้สูงอายุระยะยาว 2.0 ที่รัฐบาลปัจจุบันพัฒนาเป็น 3.0 ครอบคลุมทั้งการดูแลผู้สูงอายุและเด็กเล็ก

      ตามกฎหมายปัจจุบัน ครอบครัวที่จะยื่นขอว่าจ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติ ต้องมีคุณสมบัติและเงื่อนไขที่คิดเป็นคะแนนสะสมรวม 16 คะแนน เช่น มีบุตรอายุต่ำกว่า 6 ปี มีญาติสายเลือดตรงอายุเกิน 75 ปีขึ้นไป หรือมีบุตรหลายคนอายุไม่เกิน 12 ปีเป็นต้น

      อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ได้รับการถกเถียงเป็นอย่างมากในสภานิติบัญญัติมาโดยตลอด ฝ่ายที่สนับสนุนเห็นว่า จะช่วยเพิ่มอัตราการจ้างงานสตรี และเป็นแนวทางที่เร็วที่สุดในการแก้ปัญหาอัตราการเกิดตกต่ำ ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลว่าจะกระทบต่ออาชีพพี่เลี้ยงเด็กและพนักงานดูแลผู้สูงอายุในประเทศ องค์กรสิทธิสตรีและแรงงาน อย่างมูลนิธิ Awakening Foundation องค์กรที่ต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีของไต้หวัน และสมาพันธ์แรงงานไต้หวัน องค์กร NGO ที่เรียกร้องสิทธิแรงงาน ร่วมกันออกแถลงการณ์คัดค้าน โดยให้เหตุผลว่าการผ่อนปรนเกณฑ์จะเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวรายได้สูงเท่านั้น สร้างความเหลื่อมล้ำ และอาจทำให้ระบบบริการดูแลเด็กที่รัฐลงทุนพัฒนามา ถดถอยกลับสู่รูปแบบพึ่งพาครอบครัวและกลไกตลาดมากเกินไป

      ขณะที่ตัวแทนบริษัทจัดหางานมองว่า การเปิดกว้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติคือมาตรการที่รวดเร็วและตรงจุดที่สุดในการรับมือกับวิกฤตเด็กเกิดน้อย ซึ่งถูกมองว่าเป็น “วิกฤตความมั่นคงแห่งชาติ” ของไต้หวัน

      ข้อเสนอของประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อในการผ่อนปรนเกณฑ์จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติดังกล่าว สะท้อนถึงความพยายามของรัฐบาลในการหาทางออกต่อปัญหาสังคมสูงวัยและอัตราการเกิดที่ลดต่ำลง ขณะที่กระทรวงแรงงานยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาและประเมินผล ท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งสะท้อนถึงความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมแรงงานสตรีและการคุ้มครองสิทธิแรงงานในประเทศ

2. ไต้หวันปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนเป็น 29,500 เหรียญ ปรับขึ้น 3.18% รายชั่วโมง 196 เหรียญ แรงงานได้รับอานิสงส์ 2 ล้านคน มีผล 1 ม.ค. 69

      เมื่อวันที่ 26 กันยายนที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานเรียกประชุมคณะกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อพิจารณาการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีใหม่ หลังถกเครียดเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมมีมติปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนเป็น 29,500 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้น 910 เหรียญ ปรับขึ้นในอัตราส่วน 3.18% ส่วนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมงสำหรับแรงงานท้องถิ่นที่ทำงานเป็นรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 196 เหรียญ ปรับขึ้น 6 เหรียญ คาดจะมีแรงงาน (รวมแรงงานต่างชาติ) ได้รับอานิสงส์ประมาณ 2,000,000 คน จะประกาศอย่างเป็นทางการหลังจากผ่านการรับรองของสภาบริหารแล้ว โดยมีผลตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป

      การปรับขึ้นในครั้งนี้ ถือเป็นการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 นับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลไช่อิงเหวินเข้ารับตำแหน่ง และต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลประธานาธิบดีไล่ชิงเต๋อในปัจจุบัน ตัวเลขแสดงให้เห็นว่าใน ในรอบ 9 ปีที่ผ่านมาค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนในไต้หวันขยับขึ้นจาก 20,009 เหรียญเป็น 28,590 เหรียญ เพิ่มขึ้นกว่า 70% ส่วน ค่าจ้างรายชั่วโมงปรับจาก 120 เหรียญเป็น 190 เหรียญ หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 63.15% ก่อนจะมีมติครั้งล่าสุดปรับขึ้นอีก 3.18% ในปีใหม่ 2569

      ผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงานมองว่า การปรับขึ้นดังกล่าวแม้จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของแรงงาน แต่จะเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่ต้องรับต้นทุนแรงงานเพิ่มขึ้น ขณะที่รัฐบาลยืนยันว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นกลไกสำคัญในการค้ำจุนคุณภาพชีวิตแรงงาน และเป็นสัญญาณสะท้อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจโดยรวม

3. แรงงานฟิลิปปินส์ขายบัญชีธนาคารให้แก๊งมิจฉาชีพก่อนกลับประเทศ แลกเงิน 1 หมื่นเปโซ ถูกจับระหว่างเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวัน ศาลพิพากษาจำคุก 4 เดือน ปรับ 10,000 เหรียญ

      แรงงานฟิลิปปินส์รายหนึ่งถูกจับกุมที่ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน หลังขายบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็มและรหัสผ่านให้แก๊งมิจฉาชีพในราคา 10,000 เปโซฟิลิปปินส์ (ประมาณ 5,600 เหรียญไต้หวัน ก่อนจะเดินทางกลับประเทศ แก๊งมิจฉาชีพนำบัญชีม้าดังกล่าวไปใช้ในการฉ้อโกงและฟอกเงิน มีผู้เสียหายชาวไต้หวัน 3 ราย รวมเงินที่เหยื่อสูญเสีย 192,000 เหรียญ ผู้ต้องหารายนี้ชื่อ Orine Romely เดินทางกลับประเทศไปแล้ว แต่ถูกจับได้โดยบังเอิญระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องเพื่อเดินทางไปทำงานต่อในประเทศอื่น ตำรวจสกัดจับได้ทันควันและดำเนินคดีตามกฎหมาย

ในภาพเป็นอาคารที่ทำการของศาลท้องถิ่นซินจู๋ (ภาพจากchinatimes.com )

      จากคำพิพากษาของศาลท้องถิ่นซินจู๋ระบุว่า หลังได้รับบัญชีจากแรงงานฟิลิปปินส์ดังกล่าว กลุ่มมิจฉาชีพได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางติดต่อ ชักชวนเหยื่อด้วยข้อความโฆษณาว่าการลงทุนสกุลเงินดิจิทัล ได้กำไรแน่นอน ไร้ความเสี่ยง ทำให้มีผู้เสียหายชาวไต้หวันหลงเชื่อ 3 ราย รวมเงินเสียหาย 192,000 เหรียญไต้หวัน ก่อนถูกถอนออกไปจนหมด ต่อมาผู้เสียหายพบว่าถูกหลอกจึงเข้าแจ้งความ ตำรวจตรวจสอบพบว่าเงินทั้งหมดถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารไต้หวันของแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้ อัยการจึงสั่งฟ้องเจ้าของบัญชีในข้อหาสมคบคิดช่วยเหลือกลุ่มมิจฉาชีพละเมิดกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน

      ศาลท้องถิ่นซินจูระบุในคำพิพากษาว่า ผู้ต้องหาแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้รู้อยู่แล้วว่า การนำบัญชีธนาคารและรหัสผ่านไปให้บุคคลอื่นใช้ อาจนำไปสู่การก่ออาชญากรรมฉ้อโกงและฟอกเงิน แต่เธอก็ยังยอมเสี่ยงเพราะเห็นแก่เงิน 10,000 เปโซ และไม่มีแผนจะกลับมาทำงานที่ไต้หวันต่อไป จึงคิดว่าคงไม่มีปัญหา แต่การกระทำดังกล่าวไม่เพียงสร้างความเสียหายแก่ผู้เสียหายโดยตรง แต่ยังเพิ่มความยากลำบากให้เจ้าหน้าที่ในการสืบสวนหาตัวหัวหน้าเครือข่ายมิจฉาชีพ อีกทั้งผู้ต้องหาไม่ได้ชดใช้ค่าเสียหายใด ๆ ให้แก่เหยื่อด้วยเหตุนี้ ศาลจึงตัดสินลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับอีก 10,000 เหรียญไต้หวัน โดยระบุว่าหลังพ้นโทษแล้ว จะถูกเนรเทศส่งกลับประเทศทันที

      หลังถูกจับ ผู้ต้องหาแรงงานฟิลิปปินส์รายนี้ถูกควบคุมตัวทันที โดยทนายฝ่ายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว แต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เธอเป็นชาวต่างชาติ ไม่มีภูมิลำเนาหรือแผนการพำนักระยะยาวในไต้หวัน อีกทั้งยังขาดรายได้ที่มั่นคง จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการหลบหนี หากได้รับการปล่อยชั่วคราวอาจกระทบต่อกระบวนการพิจารณาคดี ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องและให้คุมขังต่อไป

      กรณีนี้สะท้อนให้เห็นปัญหาการใช้แรงงานต่างชาติเป็นช่องทางในการก่ออาชญากรรม โดยเฉพาะการขายหรือมอบบัญชีธนาคารแก่บุคคลอื่น ซึ่งอาจได้รับรายได้เสริมเล็กน้อย แต่กลับนำไปสู่การตกเป็นผู้ต้องหามีส่วนร่วมในอาชญากรรมร้ายแรง ทั้งฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งมีโทษทางอาญาและผลกระทบต่อเสรีภาพของผู้กระทำโดยตรง

4. แรงงานเวียดนามเมายกพวกตีกันกลางตลาดนัดกลางคืนไทจง ตำรวจแกะรอยตามล่าเจอ 5 แรงงานผิดกฎหมาย บางรายถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง

      เมื่อเวลา 22.36 น. ของวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุแรงงานต่างชาติ 2 กลุ่มทะเลาะวิวาทกันในตลาดกลางคืนฮั่นซี นครไทจง เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความโกลาหลในตลาด มีทั้งการทะเลาะเสียงดัง ฉุดกระชากชกต่อย และทำให้ร้านค้าได้รับความเสียหายบางส่วน ตำรวจพื้นที่ได้รับแจ้งเหตุและรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ แต่เมื่อไปถึงกลุ่มผู้ก่อเหตุได้พากันหลบหนีออกไปแล้ว

      จากการสอบถามพยานและตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ตำรวจพบว่าผู้ก่อเหตุทั้งหมดเป็นแรงงานสัญชาติเวียดนาม โดยสาเหตุเกิดจากการนั่งดื่มสุราที่ร้านอาหารภายในตลาด แล้วเกิดการกระทบกระทั่ง ทำให้คู่กรณีไม่พอใจและบานปลายกลายเป็นการชกต่อยกันเป็นหมู่ จนทำให้ข้าวของในร้านค้าเสียหายบางส่วน สถานีตำรวจไทจง จัดตั้งชุดสืบสวนติดตามตัวคนร้าย ทั้งการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด ยานพาหนะ และเทคโนโลยีด้านการสืบสวน จนกระทั่งนำไปสู่การจับกุม

      เมื่อวันที่ 10 กันยายน เวลาประมาณ 19.30 น. ตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 ราย อายุตั้งแต่ 21-32 ปี ทั้งหมดเป็นแรงงานเวียดนามหลบหนีนายจ้างกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ระยะเวลาหลบหนีมีตั้งแต่ 1-6 ปี ตำรวจตรวจสอบพบว่า 1 ในจำนวนนี้ ซึ่งหนีนายจ้างมาแล้ว 2 ปี ยังเป็นผู้ต้องหาหนีคดี ถูกอัยการเกาสงออกหมายจับในคดีฉ้อโกงตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อน ต่อมาตำรวจตามไปจับกุมผู้ก่อเหตุได้อีก 2 ราย เป็นแรงงานเวียดนามผิดกฎหมายเช่นกัน เพศหญิง 1 รายและเพศชาย 1 ราย

      โฆษกสถานีตำรวจไทจงแถลงว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 เป็นเพื่อนกันและอาศัยหลบซ่อนอยู่ในย่านต้าหลี่ ประกอบอาชีพรับจ้างรายวันตามไซต์ก่อสร้างต่าง ๆ เบื้องต้นผู้ต้องหาชายทั้ง 3 รายถูกควบคุมตัวส่งให้อัยการดำเนินคดีในข้อหากระทำผิดฐานร่วมกันทะเลาะวิวาท ตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนในคดีแรงงานผิดกฎหมาย ทั้งหมดถูกส่งตัวให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองดำเนินคดีตามกฎหมายคนเข้าเมืองและกฎหมายการจ้างงาน

      และจากคำให้การของแรงงานผิดกฎหมายกลุ่มนี้ ตำรวจยังตามไปจับกุมผู้รับเหมาย่อยชาวไต้หวันที่ว่าจ้างแรงงานผิดกฎหมายกลุ่มนี้เข้าทำงาน ส่งต่อให้กองแรงงานไทจงพิจารณาลงโทษตามกฎหมายการจ้างงาน

      สถานีตำรวจไทจงย้ำว่า จะไม่ถูกปล่อยปละละเลยต่อการกระทำความผิดใด ๆ ที่กระทบความสงบเรียบร้อยในสังคม ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด พร้อมเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาด้วยเหตุผล ไม่ใช้ความรุนแรง เพื่อรักษาความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน

為提供您更好的網站服務,本網站使用cookies。

若您繼續瀏覽網頁即表示您同意我們的cookies政策,進一步了解隱私權政策。 

我了解