เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านการอนุรักษ์พันธุกรรมและการจัดการความปลอดภัยทางชีวภาพของอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งในไต้หวัน กระทรวงเกษตรได้จัดตั้ง “คลังพันธุกรรมกุ้ง และ สาหร่าย” ที่ตำบลตงกั่ง เมืองผิงตง และได้เปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้วในวันที่ 2 ตุลาคม 2025 โดยคาดว่าจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าพันธุ์กุ้งในอนาคต และลูกพันธุ์กุ้งขาวรุ่นแรกที่เพาะได้จะให้ผู้เพาะเลี้ยงนำไปใช้จริงได้ตั้งแต่ต้นปีหน้า

อู๋เฟิงเฉิง(吳豐成) ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเพาะเลี้ยงตงกั่ง สังกัดสถาบันวิจัยการประมง กระทรวงเกษตร แถลงว่า การก่อตั้งคลังพันธุกรรมครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญด้านความมั่นคงอาหารของไต้หวัน เพราะจะช่วยรักษาสายพันธุ์กุ้งให้ไม่สะดุดหรือขาดหายจากข้อจำกัดด้านการนำเข้า อีกทั้งยังได้บูรณาการเกณฑ์การคัดเลือกพันธุ์ตามความทนทานต่ออุณหภูมิและความเค็ม เพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยขณะนี้มีผลการเพาะเลี้ยงเบื้องต้นแล้ว และคาดว่าต้นปีหน้าจะสามารถปล่อยพันธุ์กุ้งขาวชุดแรกออกสู่ภาคอุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงได้จริง
จันหย่งเซิ่ง(詹永聖) หัวหน้าฝ่ายกุ้ง สมาคมเยาวชนประมงผิงตง กล่าวว่า อุตสาหกรรมเพาะเลี้ยงกุ้งในไต้หวันพึ่งพาการนำเข้าพันธุ์กุ้งมาโดยตลอด แม้ว่าราคาจะสูงกว่าพันธุ์ในประเทศ 10–15 เท่า แต่จุดแข็งคือการจัดการด้านชีวอนามัยจากต่างประเทศมีมาตรฐานดีกว่า พันธุ์กุ้งที่นำเข้าไม่พาเชื้อไวรัส จึงช่วยลดความเสี่ยงในกระบวนการเลี้ยง อีกทั้งยังเติบโตได้เร็วกว่า ปัจจุบันเมื่อมีการจัดตั้งคลังพันธุกรรมกุ้งตงกั่ง ก็หวังว่าจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า ลดทั้งต้นทุนและความเสี่ยงโรคในอนาคต
สถาบันวิจัยการประมงระบุว่า คลังพันธุกรรมแห่งนี้ให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคและความปลอดภัยทางชีวภาพในภาพรวม โดยจะเก็บรักษาสายพันธุ์กุ้งเศรษฐกิจในประเทศ 6–8 ชนิด และสาหร่าย 16–20 ชนิด พร้อมทั้งบูรณาการการเพาะเลี้ยงกุ้งครบ 4 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บรักษาสายพันธุ์ การขยายพันธุ์ การเพาะเลี้ยง และการปรับปรุงพันธุ์ ให้เป็นกระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์กุ้งที่มีคุณภาพแบบครบวงจร ในอนาคตจะสามารถปล่อยพันธุ์กุ้งขาว SPF (Specific Pathogen Free – ปราศจากเชื้อก่อโรคเฉพาะ) ที่มีคุณภาพสูงให้แก่ผู้ประกอบการเพาะเลี้ยง เติมเต็มความต้องการพันธุ์กุ้งคุณภาพที่ขาดแคลนในประเทศ และช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมกุ้งไต้หวัน
สถาบันวิจัยการประมง ชี้ว่า ที่ชั้น 1 ของคลังพันธุกรรม ได้จัดตั้ง “เขตเก็บรักษาพันธุ์กุ้ง” โดยเฉพาะ เพื่อดูแลและเก็บรักษากุ้งเศรษฐกิจสำคัญ เช่น กุ้งขาว กุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม พื้นที่นี้ถูกออกแบบให้เป็นห้องแยกอิสระ แต่ละขั้นตอนตั้งแต่การกักกัน การเลี้ยงจนเจริญเติบโต การกระตุ้นให้กุ้งสุกเพศ ซึ่งหมายถึง การกระตุ้นให้กุ้งเข้าสู่ความพร้อมสืบพันธุ์ (maturation) การผสมพันธุ์ ไปจนถึงการฟักไข่ ล้วนมีพื้นที่และเส้นทางการเลี้ยงที่แยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง พร้อมติดตั้งระบบควบคุมสิ่งแวดล้อม ระบบน้ำเข้า-ออก และระบบคงสภาพชีวิตเฉพาะ ทำให้สามารถป้องกันเชื้อโรคจากภายนอกและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อข้ามกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนที่ชั้น 2 ของคลังพันธุกรรม ได้จัดตั้ง “เขตเก็บรักษาพันธุ์สาหร่าย” สำหรับเพาะเลี้ยงสาหร่ายขนาดเล็กที่จำเป็นต่อระยะเริ่มต้นของลูกกุ้ง เช่น สาหร่ายเซลล์เดียวขนาดจิ๋ว (ไมโครแอลจี-Nannochloropsis),สาหร่ายเซลล์เดียว (Isochrysis), สาหร่ายแป้ง (diatom) เซลล์เดียวชนิดหนึ่ง (Chaetoceros gracilis) และ สาหร่ายเซลล์เดียวชนิดเขียว(Tetraselmis chuii) โดยสาหร่ายเหล่านี้นอกจากจะเป็นอาหารโดยตรงของลูกกุ้ง ยังเป็นแหล่งอาหารบำรุงสำหรับสิ่งมีชีวิตอาหารในระยะต่อมา เช่น ไรทะเล (Artemia) และโรติเฟอร์ (Rotifer) ด้วย การสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในที่เพียงพอ ปลอดภัย และครบวงจรเช่นนี้ ช่วยลดการพึ่งพาอาหารเลี้ยงจากภายนอกที่คุณภาพไม่แน่นอน เสริมความสามารถพึ่งพาตนเองของคลังพันธุกรรม และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการป้องกันโรค สามารถต้านทานเชื้อโรคจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิผล เพื่อให้มั่นใจว่ามีการผลิตพันธุ์กุ้งคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่องและมั่นคง
