1. สหรัฐฯ แบนสินค้าจาก Giant ยักษ์ใหญ่จักรยานไต้หวัน ปมบังคับใช้แรงงาน นักวิชาการเตือน หากไม่เร่งแก้ปัญหาการจ้างแรงงานต่างชาติอย่างเป็นธรรม เสี่ยงกระทบทุกบริษัทส่งออก
สหรัฐอเมริกาออกมาตรการระงับการนำเข้าสินค้าจากบริษัท Giant Group ผู้ผลิตจักรยานรายใหญ่ของโลกสัญชาติไต้หวัน ภายหลังสำนักงานศุลกากรและป้องกันชายแดนสหรัฐฯ (CBP) สรุปผลการสอบสวนว่าบริษัทมีพฤติกรรมเข้าข่ายบังคับใช้แรงงาน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการอุตสาหกรรมส่งออกของไต้หวันอย่างมาก และอาจกลายเป็นสัญญาณเตือนแก่ผู้ประกอบการทุกรายที่ต้องพึ่งพาตลาดโลก

Giant ยักษ์ใหญ่จักรยานไต้หวัน หันกลับมาว่าจ้างแรงงานไทยอีกครั้ง โดยใช้นโยบายแรงงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบันนำเข้าแรงงานไทยแล้ว 400 คน จากการว่าจ้างแรงงานต่างชาติทั้งหมด 500 คน (ภาพจากเว็บ Giant Group)
รายงานระบุว่า CBP พบพฤติกรรมละเมิดตามเกณฑ์ขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) อาทิ ปล่อยให้บริษัทจัดหางานต้นทางเรียกรับค่าบริการหรือค่าหัวคิวที่แพง สภาพแวดล้อมในที่พักย่ำแย่และบังคับให้ทำงานล่วงเวลาเกินควร ฯลฯ เนื่องจากไต้หวันและสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างเจรจาการค้าและภาษีศุลกากร การที่วอชิงตันชี้เป้าไปยัง Giant โดยตรง ย่อมสะท้อนท่าทีว่าฝ่ายสหรัฐฯ มองว่าบริษัทได้เปรียบทางการแข่งขันด้วยวิธีการเอาเปรียบแรงงาน

Giant ยักษ์ใหญ่จักรยานไต้หวัน หันกลับมาว่าจ้างแรงงานไทยอีกครั้ง โดยใช้นโยบายแรงงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบันนำเข้าแรงงานไทยแล้ว 400 คน จากการว่าจ้างแรงงานต่างชาติทั้งหมด 500 คน (ภาพจากเว็บ Giant Group)
ต่อปัญหาข้างต้น ศาสตราจารย์ซิน ปิ่งหลง จากสถาบันการพัฒนาระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยไต้หวัน วิเคราะห์ว่า ประเด็นหลักที่สหรัฐฯ เน้นคือ การนำเข้าและจ้างแรงงานต่างชาติอย่างเป็นธรรม และเมื่อประเด็นนี้ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการค้า เป็นสัญญาณเตือนว่า ผู้ส่งออกทุกรายของไต้หวันจะละเลยไม่ได้เด็ดขาด เขาเตือนว่า หากไม่เร่งดำเนินมาตรการ เช่น การทำให้แรงงานต่างชาติเดินทางเข้ามาทำงาน โดยไม่ต้องเสียค่าหัวคิวและใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมาตรฐานสากลหรือระบบ RBA บริษัทส่งออกจะเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการลงโทษเหมือนกรณี Giant

Giant ยักษ์ใหญ่จักรยานไต้หวัน หันกลับมาว่าจ้างแรงงานไทยอีกครั้ง โดยใช้นโยบายแรงงานไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ปัจจุบันนำเข้าแรงงานไทยแล้ว 400 คน จากการว่าจ้างแรงงานต่างชาติทั้งหมด 500 คน (ภาพจากเว็บ Giant Group)
นักวิชาการชี้ว่า บริษัทในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก โดยเฉพาะผู้ผลิตให้กับแบรนด์ยักษ์ใหญ่ เช่น Apple ถูกกำหนดให้ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานหลักจรรยาบรรณแห่งพันธมิตรธุรกิจผู้มีความรับผิดชอบ (Responsible Business Alliance) เรียกย่อว่ามาตรฐาน RBA ซึ่งครอบคลุมสิทธิแรงงาน ความปลอดภัย สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และจริยธรรม โดยบริษัทแม่ยังมักส่งทีมงานมาตรวจสอบโรงงานผู้ผลิตเป็นระยะ ระบบนี้ บริษัทในไต้หวันขนาดใหญ่หลายแห่งเริ่มนำมาใช้แล้ว อย่างไรก็ตาม หากบังคับใช้อย่างจริงจัง การจ้างแรงงานต่างชาติแบบนายจ้างจ่ายค่าหัวคิวและค่าใช้จ่ายทุกอย่าง จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นราวปีละ 100,000 เหรียญไต้หวันต่อแรงงานต่างชาติหนึ่งคน ซึ่งอาจเป็นภาระหนักต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก

นักวิชาการเตือน หากไม่เร่งแก้ปัญหาการจ้างแรงงานต่างชาติอย่างเป็นธรรม เสี่ยงกระทบทุกบริษัทส่งออก (ภาพจาก An Rong Xu for The New York Times)
ด้านศาสตราจารย์ อู๋ต้าเริ่น จากภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย NCU ให้ความเห็นว่า กรณี Giant ถือเป็นสัญญาณเตือนครั้งสำคัญ เพราะที่ผ่านมาไต้หวันไม่ค่อยถูกจับตาในด้านการละเมิดสิทธิแรงงาน แต่การที่ CBP ลงมือแบนบริษัทไต้หวันอย่างเป็นทางการ ย่อมหมายถึงว่าสหรัฐฯ เริ่มหันมาโฟกัสประเด็นนี้ หากมีบริษัทอื่น ๆ ถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ไม่ว่าจะอุตสาหกรรมดั้งเดิมหรือไฮเทค ล้วนหลีกเลี่ยงไม่พ้นในเรื่องแรงกดดัน

Giant ยักษ์ใหญ่จักรยานไต้หวัน ถูกสหรัฐฯ แบนสินค้า จาก ปมบังคับใช้แรงงาน (ภาพจากเว็บ Giant Group)
ด้าน ศาสตราจารย์ ชิวต๋าเซิง กรรมการบริหารสมาคมการค้าอุตสาหกรรมเอเชียแปซิฟิกอธิบายว่า กรณีนี้สะท้อนปรากฏการณ์การคุ้มครองรูปแบบใหม่ที่นานาชาติใช้กัน คือการกีดกันการค้าโดยใช้เงื่อนไขด้านแรงงาน (Blue Protectionism) และ การกีดกันการค้าโดยใช้เงื่อนไขด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Green Protectionism ประเทศที่เน้นการผลิตเพื่อการส่งออก เช่น ไต้หวันย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง เขาเปรียบเทียบว่า ที่ผ่านมาสินค้าจากมณฑลซินเจียงของจีนแผ่นดินใหญ่ มาเลเซีย และไทย ต่างเคยถูกสหรัฐฯ สั่งระงับนำเข้าสินค้า ด้วยข้อกล่าวหาลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นฝ้าย ถุงมือยาง หรือผลิตภัณฑ์ประมง

อาคารสำนักงานใหญ่ของ Giant Group ที่นครไทจง (ภาพจากเว็บ Giant Group)
กรณี Giant ถูกแบน ไม่เพียงกระทบต่อบริษัทเพียงรายเดียว แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่า “มาตรฐานแรงงาน” ได้ถูกยกระดับขึ้นเป็นเงื่อนไขการค้าในระดับโลก ผู้ประกอบการไต้หวันทุกรายที่พึ่งพาการส่งออก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับตัวอย่างจริงจัง มิฉะนั้นอาจต้องเผชิญบทลงโทษที่รุนแรงยิ่งกว่าในอนาคต

อาคารสำนักงานใหญ่ของ Giant Group ที่นครไทจง (ภาพจากเว็บ Giant Group)
เท่าที่ทราบ ปัจจุบัน Giant Group เจ้าของ Giant แบรนด์จักรยานระดับโลก มีฐานผลิตอยู่นครไทจง ว่าจ้างแรงงานต่างชาติประมาณ 500 คน ในจำนวนนี้เป็นแรงงานไทยประมาณ 400 คนและเวียดนามเหลืออีก 100 คน เดิมว่าจ้างแรงงานไทยทั้งหมด ต่อมาเนื่องจากแรงงานที่ประสงค์เดินทางมาทำงานในไต้หวันลดน้อยลง จึงหันไปนำเข้าแรงงานเวียดนาม แต่บริษัทเห็นว่า แรงงานไทยขยันและให้ความร่วมมือมากกว่า ประกอบกับปัจจุบันแรงงานไทยต้องการเดินทางมาทำงานที่ไต้หวันมากขึ้น ดังนั้นช่วง 2-3 ปีมานี้ บริษัทเริ่มเปลี่ยนมานำเข้าแรงงานไทยใหม่อีกครั้ง โดยทยอยนำเข้าแรงงานไทยมาทดแทนแรงงานเวียดนามที่ทำงานครบสัญญาแล้ว นอกจากนี้ บริษัทเริ่มใช้ระบบใกล้เคียงกับ RBA โดยแรงงานไทยที่เดินทางมาทำงาน ไม่ต้องจ่ายค่าหัวคิวและค่าเดินทาง บริษัทจะรับผิดชอบแทนตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมา การลงโทษ Giant ครั้งนี้ สหรัฐฯ อาจใช้ข้อมูลเก่าที่องค์กรไม่แสวงหากำไรสำรวจในปีก่อน ๆ และนำมาตีพิมพ์เป็นรายงานในปี 2567

Giant แบรนด์จักรยานชั้นนำของโลกสัญชาติไต้หวัน ส่งออกสินค้าไปยังทั่วโลก ตลาดใหญ่อยู่ที่ยุโรปและสหรัฐอเมริการ ฯลฯ (ภาพจากเว็บ Giant Group)
2. ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองไต้หวันทลายขบวนการบริษัทจัดหางานปลอม ลวงแรงงานต่างชาติบังคับขายบริการทางเพศ อัยการสั่งฟ้องข้อหาค้ามนุษย์
เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2568 สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสาขาเจียอี้แถลงข่าว ผลคืบหน้าคดีบริษัทจัดหางานแอบอ้างนำเข้าแรงงานต่างชาติด้วยเอกสารปลอม ก่อนบังคับเหยื่อเข้าสู่วงจรค้าประเวณี ล่าสุดอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาหลัก 3 ราย พร้อมพวกรวมกว่า 10 คน ฐานละเมิดกฎหมายหลายมาตรา

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เจียอี้ ทลายขบวนการบริษัทจัดหางานปลอม ลวงแรงงานต่างชาติบังคับขายบริการทางเพศ (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
คดีนี้เริ่มจากตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเจียอี้ได้รับเบาะแสว่า สถานประกอบการสปาแห่งหนึ่งในนครเกาสงถูกใช้เป็นแหล่งจัดหาหญิงต่างชาติเข้าสู่การค้าประเวณี หลังรวบรวมพยานหลักฐาน ทีมเจ้าหน้าที่ได้ประสานสำนักงานอัยการเกาสงและตำรวจพื้นที่ดำเนินการตรวจค้นเมื่อเดือนมีนาคม 2567 ผลการบุกค้นพบหญิงเวียดนาม 12 คน โดยหนึ่งในนั้น เป็นแรงงานที่ถูกนำเข้ามาอย่างถูกกฎหมายในตำแหน่งผู้อนุบาล แต่กลับถูกบังคับให้ขายประเวณี หลังการตรวจสอบผู้อนุบาลเวียดนามรายนี้ถูกจัดเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เจียอี้ ทลายขบวนการบริษัทจัดหางานปลอม ลวงแรงงานต่างชาติบังคับขายบริการทางเพศ (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
การสืบสวนเพิ่มเติมพบว่า ในช่วงเวลาเดียวกันยังมีแรงงานเวียดนามอีก 4 คนถูกนำเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้อนุบาลเพื่อดูแลผู้ป่วย แต่จากการตรวจสอบพื้นที่พักอาศัยกลับไม่พบการทำงานจริง อัยการจึงสั่งขยายผลพร้อมหมายค้นบริษัทจัดหางานในเดือนเมษายน 2025 พบว่า นายกง ผู้ต้องหาซึ่งเป็นชายชาวไต้หวัน อาศัยตำแหน่งพนักงานในบริษัทจัดหางาน หานายจ้างปลอมยื่นขอนำเข้าแรงงานหญิงเวียดนามในตำแหน่งผู้อนุบาล เมื่อแรงงานเดินทางถึงไต้หวัน กลุ่มผู้ต้องหาจะรีบเคลื่อนย้ายออกจากบ้านนายจ้างภายใน 1 วัน และบังคับเข้าสู่ขบวนการค้าประเวณีทันที

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เจียอี้ ทลายขบวนการบริษัทจัดหางานปลอม ลวงแรงงานต่างชาติบังคับขายบริการทางเพศ พบหญิงเวียดนาม 12 คน (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
ขบวนการค้ามนุษย์แก๊งนี้แบ่งหน้าที่ชัดเจน โดยนายหลิน 1 ในผู้ต้องหาเป็นผู้เช่าบ้านพักเพื่อกักขังและควบคุมเหยื่อ ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เหยื่อไม่รู้ภาษา ไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือ จากนั้นนายจาง อีก 1 ผู้ต้องหาจะทำหน้าที่นำเหยื่อไปยังสปาในเกาสงเพื่อค้าประเวณี เหยื่อยังเปิดเผยว่า ก่อนเดินทางเข้ามา นายจางอ้างว่าจะสำรองค่าใช้จ่ายในการเดินทางกว่า 150,000 เหรียญไต้หวัน แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับถูกบังคับให้ชำระหนี้เดือนละ 30,000 เหรียญภายใน 4 เดือน ทั้งยังถูกหักรายได้จากการขายบริการครั้งละ 800–1,000 เหรียญ และต้องจ่ายเงินประกัน 8,000 เหรียญ รวมถึงค่าที่พักอีกเดือนละ 5,000 เหรียญ แสวงหาประโยชน์จากเหยื่อทุกรูปแบบ

ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองที่เจียอี้ ทลายขบวนการบริษัทจัดหางานปลอม ลวงแรงงานต่างชาติบังคับขายบริการทางเพศ พบหญิงเวียดนาม 12 คน (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
ระหว่างปฏิบัติการตรวจค้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตรวจยึดคอมพิวเตอร์ เอกสารบัญชี และแฟ้มลูกค้าจำนวนมาก พร้อมควบคุมตัวผู้เกี่ยวข้องรวมถึงนายกง ผู้ต้องหาหลัก ซึ่งถูกตั้งข้อหาหนักและมีพฤติกรรมเสี่ยงหลบหนีหรือสมคบคิดกับพวกพ้อง สำนักงานอัยการเกาสงได้สรุปสำนวนเมื่อเดือนกันยายน สั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 10 ราย นำโดยนายกง นายหลิน และนายจาง ฐานละเมิดกฎหมายป้องกันการค้ามนุษย์ ประมวลกฎหมายอาญาเรื่องการค้าประเวณี การปลอมแปลงเอกสาร และกฎหมายการจ้างงาน

บริษัทจัดหางานนำเข้าแรงงานต่างชาติด้วยเอกสารปลอม ก่อนบังคับเหยื่อเข้าสู่วงจรค้าประเวณี อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาหลัก 3 ราย พร้อมพวกรวมกว่า 10 คน ข้อหาค้ามนุษย์และอีกหลายข้อหา (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
โฆษกสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแถลงว่า จะเดินหน้าร่วมกับหน่วยงานด้านความมั่นคงอื่น ๆ ปราบปรามการละเมิดกฎหมายแรงงานและการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่อง พร้อมสกัดกั้นเครือข่ายจัดหางานผิดกฎหมายจากต้นทาง เพื่อคุ้มครองแรงงานต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำงานในไต้หวันอย่างสุจริต ขณะเดียวกัน ได้เรียกร้องให้ประชาชน รวมถึงแรงงานต่างชาติ หากมีข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างงานหรือนายหน้าผิดกฎหมาย สามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุกพื้นที่ หรือสถานีตำรวจใกล้เคียง เพื่อร่วมกันปกป้องความสงบเรียบร้อยของสังคม

บริษัทจัดหางานนำเข้าแรงงานต่างชาติด้วยเอกสารปลอม ก่อนบังคับเหยื่อเข้าสู่วงจรค้าประเวณี อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาหลัก 3 ราย พร้อมพวกรวมกว่า 10 คน ข้อหาค้ามนุษย์และอีกหลายข้อหา (ภาพจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)
3. เมาแล้วกร่างเหมือนกันทุกชาติ! จับ 5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกใช้ขวดเหล้าฟาดกันนัวคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง ทำจราจรติดขัด
ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่ประชาชนส่วนใหญ่จัดปาร์ตี้บาร์บีคิวและดื่มฉลองตามธรรมเนียม เกิดเหตุทะเลาะวิวาทรุนแรงขึ้นที่เขตซินซิง นครเกาสง รุ่งเช้าเวลาประมาณ 03.46 น. ของวันที่ 5 ตุลาคม ส่งผลให้การจราจรบริเวณถนนปาเต๋อเอ้อร์ลู่ ติดขัดชั่วคราว เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเร่งระดมกำลังเข้าระงับเหตุ

5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง ทำจราจรติดขัด (ภาพจากคลิปสถานีตำรวจนครเกาสง)
สถานีตำรวจซินซิงแถลงว่า เหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด 5 คน เป็นแรงงานอินโดนีเซียทั้งหมด ซึ่งต่างไม่รู้จักกันมาก่อน กลุ่มแรงงานทั้งห้ากำลังนั่งดื่มอยู่บริเวณหน้าร้านค้าใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนจะเกิดปากเสียงกันจากการเขม่นกันจนไม่พอใจ ลุกลามกลายเป็นใช้ขวดสุราฟาดทำร้ายร่างกายกัน

5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง ตำรวจรุดไปยับยั้ยเหตุ (ภาพจาก TVBS)
แรงงานอินโดนีเซียที่ถูกตำรวจควบคุมตัว มีตั้งแต่อายุ 25-46 ปี ทั้งหมดเป็นแรงงานถูกกฎหมายทำงานในโรงงานที่เกาสง ขณะเกิดเหตุ อยู่ในอาการมึนเมาและมีปากเสียงกันจนถึงขั้นใช้กำลังชกต่อย บางคนใช้ขวดสุราทุบศีรษะคู่กรณี ต่างได้รับบาดเจ็บไปตาม ๆ กันแต่ไม่มีอันตรายถึงชีวิต

5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง ตำรวจรุดไปยับยั้ยเหตุ (ภาพจาก TVBS)
เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยเคลื่อนที่เร็วเข้าระงับเหตุและควบคุมตัวแรงงานอินโดนีเซียผู้ก่อเหตุทั้ง 5 ก่อนนำตัวกลับไปสอบสวนที่สถานีตำรวจ หลังจากสอบปากคำเบื้องต้นได้ส่งสำนวนไปยังสำนักงานอัยการเกาสงดำเนินคดี ในข้อหาทำร้ายร่างกายและก่อความวุ่นวายในที่สาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญาของไต้หวัน

5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง บาดเจ็บหลายคนแต่อาการไม่อันตรายถึงชีวิต (ภาพจากสถานีตำรวจนครเกาสง)
เจ้าหน้าที่ตำรวจเกาสงเปิดเผยว่า แม้การดื่มฉลองในช่วงเทศกาลจะเป็นเรื่องปกติของประชาชน แต่การดื่มเกินขนาดและก่อเหตุรุนแรงถือเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้ และย้ำว่าจะเพิ่มการตรวจตราในช่วงวันหยุดเทศกาลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอยอีก

ตำรวจจับ 5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง (ภาพจากสถานีตำรวจนครเกาสง)
การดื่มสุรานั้น ฤทธิ์แอลกอฮอล์ จะส่งผลต่อสมองและระบบประสาทส่วนกลางของมนุษย์เหมือนกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน เพราะกลไกทางชีวเคมีเหมือนกัน เมื่อดื่มสุราเข้าไป แอลกอฮอล์จะไปยับยั้งการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมเหตุผลและการยับยั้งพฤติกรรม ทำให้ผู้ดื่มปลดปล่อยตัวเองมากขึ้น พูดง่ายคือกล้าทำในสิ่งที่ปกติอาจไม่กล้า เช่น พูดเสียงดัง ทะเลาะวิวาท หรือแสดงความก้าวร้าว สรุปแล้วแอลกอฮอล์ไม่ได้เปลี่ยนคน มันแค่เปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจคนต่างหาก

ตำรวจจับ 5 แรงงานอินโดนีเซียเมาสุราเปิดศึกฟาดกันนัวด้วยขวดเหล้าในคืนไหว้พระจันทร์กลางถนนในเกาสง (ภาพจากสถานีตำรวจนครเกาสง)