1.สะพานตั้นเจียงผลงานชิ้นสุดท้ายที่ซาฮา ฮาดิด สะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก
การเชื่อมต่อสะพานตั้นเจียงอย่างเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2568 เป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับการกล่าวถึงในสังคมไต้หวันอย่างมาก สะพานตั้นเจียงซึ่งเชื่อมต่อฝั่งปาหลี่กับตั้นสุ่ย ที่ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 6 ปีแห่งนี้ ถือเป็นโครงการก่อสร้างสะพานแห่งแรกของไต้หวันที่ดำเนินการผ่านการประกวดระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ซาฮา ฮาดิด (Zaha Hadid) สถาปนิกชื่อดังระดับโลกที่ล่วงลับไปแล้ว ทิ้งไว้ให้ไต้หวัน
โดยสะพานตั้นเจียงจะเปิดให้สัญจรในเดือนพฤษภาคมปีหน้า ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นเส้นทางเชื่อมต่อสำคัญระหว่างเขตตั้นสุ่ย ปาหลีและหลินโข่ว รวมถึงทางด่วนฝั่งตะวันตกไปยังท่าเรือไทเปและสนามบินนานาชาติเถาหยวน สะพานตั้นเจียงยังเป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามที่หาได้ยากยิ่ง ซึ่งได้รับการจัดอันดับโดย CNN ให้เป็นหนึ่งใน 11 โครงการสถาปัตยกรรมที่จะเปลี่ยนโลกประจำปี 2568 และจะกลายเป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก เรามาทำความรู้จักกับสะพานตั้นเจียง ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของไต้หวันกันค่ะ

สะพานตั้นเจียงเชื่อมต่อเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2568 (ภาพ CNA)
สะพานตั้นเจียง เป็นโครงการก่อสร้างสะพานแห่งแรกของไต้หวันที่ดำเนินการออกแบบผ่านการประกวดแบบระดับนานาชาติ ในระหว่างการก่อสร้าง มีทีมวิศวกรมืออาชีพจากไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และเยอรมนี ทำงานร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้นคือ สะพานแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งผลงานที่สร้างขึ้นจากหยาดเหงื่อของแรงงานไทย ซึ่งแรงงานไทยมีชื่อเสียงในด้านการก่อสร้างอยู่แล้ว ในอดีตโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า ทางด่วน เส้นทางรถไฟความเร็วสูง รวมทั้งตึกไทเป 101 ก็ล้วนมาจากน้ำพักน้ำแรงคนไทย และสะพานตั้นเจียงที่กำลังจะเตรียมเปิดใช้งานในปีหน้าแห่งนี้ จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่แรงงานไทยเป็นผู้มีส่วนร่วมเช่นกัน
สะพานตั้นเจียงได้เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2561 หลังจากล้มเหลวในการประมูลถึง 7 ครั้ง คุณเฉินหวงหมิง (陳煌銘) รองประธานบริษัท KSECO (Kung Sing Engineering Corporation) ผู้รับเหมาก่อสร้าง เคยให้สัมภาษณ์ว่า สะพานตั้นเจียงสร้างสถิติอันน่าเหลือเชื่อหลายอย่างระหว่างก่อสร้าง โดยเฉพาะการต้องสร้างเส้นโค้งตามแบบที่สถาปนิกชื่อดังระดับโลก ซาฮา ฮาดิด (Zaha Hadid) ออกแบบ และโครงการนี้เกือบถูกทิ้งร้างเนื่องจากก่อสร้างได้ยากมาก

สะพานตั้นเจียงจะเปิดให้สัญจรในเดือนพฤษภาคมปีหน้า
หลังจากเปิดใช้งาน สะพานตั้นเจียงแห่งจะกลายเป็นสะพานที่มีความยาวช่วงสะพานหลัก 450 เมตร และความยาวทั้งหมด 920 เมตรจะกลายเป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก นอกจากนี้ เสาหลักที่สูงจากระดับน้ำทะเล 200 เมตร ก็จะกลายเป็นเสาสะพานที่สูงที่สุดในไต้หวันอีกด้วย ซึ่งสะพานขึงอสมมาตรคือการใช้เสาหลักเพียงต้นเดียวเพื่อรับสายเคเบิลทั้งหมด ทำให้สะพานดูโปร่งบาง สวยงาม ไม่กีดขวางหรือบดบังทัศนียภาพ ซึ่งปัจจุบัน สะพานขึงอสมมาตรเสาเดี่ยว 3 ระนาบที่ยาวที่สุดในโลกคือ สะพานพระราม 8 ในกรุงเทพมหานคร
ในช่วงการก่อสร้าง ยังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้โครงการล่าช้า นายเจิ้งหมิ่นจง (鄭閔中) หัวหน้าแผนกวิศวกรรมที่ 3 ฝ่ายวิศวกรรมโยธาทางหลวงเขตเหนือ กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เนื่องจากงานก่อสร้างสะพานต้องการช่างเชื่อมจำนวนมาก กรมทางหลวงจึงได้ร่วมมือกับผู้รับเหมา เชิญสมาคมโครงสร้างเหล็กแห่งไต้หวัน เข้ามาสอนงานในไซต์ก่อสร้าง เพื่อฝึกอบรมให้แรงงานสอบผ่านการรับรองมาตรฐานช่างเชื่อม
นายเจิ้งหมิ่นจง กล่าวว่า เมื่อเผชิญสถานการณ์ขาดแคลนแรงงานครั้งใหญ่ หาช่างเชื่อมไม่ได้ ก็ต้องฝึกแรงงาน ให้เขามีคุณสมบัติและทักษะการเชื่อม ซึ่งการก่อสร้างสะพานตั้นเจียงมีมาตรฐานคุณภาพที่เข้มงวดกว่างานสร้างเขื่อน การเชื่อมใช้ระดับมาตรฐานเดียวกันกับของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ และด้วยความยากของงานเชื่อม ทำให้หลายครั้งเพิ่งฝึกคนได้ไม่นาน เขาก็ลาออกไปแล้ว

ได้รับแรงบันดาลใจจากคณะนักเต้นหยุนเหมินและภูเขากวนอิม (เว็บไซต์ สะพานตั้นเจียง)
สะพานแห่งนี้ออกแบบโดยทีมของซาฮา ฮาดิด (Zaha Hadid) สถาปนิกหญิงชาวอังกฤษ เธอเป็นผู้หญิงคนแรกของโลกที่ได้รับรางวัลพริตซ์เกอร์ด้านสถาปัตยกรรม มีความเชี่ยวชาญในการใช้เส้นโค้งสร้างสรรค์งานที่ผสมผสานความแข็งแรงและความอ่อนโยน อาคารชื่อดังระดับโลกอย่างศูนย์เฮย์ดาร์ อาลิเยฟ (Heydar Aliyev) โรงละครกวางโจวและศูนย์กีฬาทางน้ำลอนดอน ล้วนเป็นผลงานของเธอ 9 ปีหลังจากซาฮา ฮาดิดเสียชีวิตด้วยอาการป่วย สะพานตั้นเจียงซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเธอ ก็เข้าสู่พิธีสุดท้ายของการเชื่อมต่อสะพานอย่างสมบูรณ์ในเดือนกันยายนปีนี้
ทีมของซาฮา ฮาดิดได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากแสงอาทิตย์ตกยามเย็น ท่วงท่าของนักเต้นคณะ Cloud Gate Dance Theatre of Taiwan (雲門舞集) และภูเขากวนอิม (觀音山) จึงได้เสนอไอเดียการผสานศิลปะสถาปัตยกรรมกับเทคโนโลยีวิศวกรรม สร้างสะพานขึงอสมมาตรที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ปากแม่น้ำตั้นสุ่ยอันเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของผู้คน เสาสะพานเป็นสัญลักษณ์ของสองมือพนมกัน สื่อถึงแนวคิดในการอธิษฐานขอพรเพื่อความโชคดีของไต้หวัน
แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ตั้นเจียง ถือเป็นหนึ่งในแปดทัศนียภาพที่งดงามของตั้นสุ่ย เมื่อพระอาทิตย์ตก แสงส้มทองอันงดงามสะท้อนบนผิวน้ำ ท้องฟ้าบวกกับเมฆหลายชั้น ยิ่งสร้างความตระการตา การออกแบบสะพานตั้นเจียง ยังได้คำนึงถึงในส่วนนี้ ตัวสะพานถูกสร้างขึ้นโดยหลีกเลี่ยงตำแหน่งของพระอาทิตย์ตกในแต่ละฤดูกาล จะไม่บดบังทัศนียภาพรอบ ๆ ซึ่งในช่วงพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์อัสดงจะสาดส่องไปยังเสาสะพาน เกิดการไล่เฉดสีที่งดงาม ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว สามารถดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพพระอาทิตย์ตกดินได้อย่างสุดลูกหูลูกตา

เสาสะพานเป็นสัญลักษณ์ของสองมือพนมกัน สื่อถึงแนวคิดในการอธิษฐานขอพรเพื่อความโชคดีของไต้หวัน (เว็บไซต์สะพานตั้นเจียง)
การเปิดใช้งานสะพานตั้นเจียงไม่ใช่แค่มีสะพานเพิ่มอีกหนึ่งแห่ง แต่จะก่อให้เกิดระบบบูรณาการด้านคมนาคมที่สมบูรณ์ สามารถกระจายปริมาณรถที่มุ่งหน้าออกจากตั้นสุ่ยได้ประมาณ 30% ประหยัดเวลาเดินทางได้ราว 25 นาที และเมื่อมีมาตรการสนับสนุนที่ครบถ้วน การเดินทางของผู้โดยสารและการขนส่งสินค้าที่เข้าออกตั้นสุ่ยและท่าเรือไทเปก็จะยิ่งสะดวกมากขึ้น
สะพานตั้นเจียงจะมีช่องจราจรฝั่งละ 4 เลน โดยในจำนวนี้ยังได้เผื่อพื้นที่ไว้สำหรับเส้นทางรถไฟฟ้ารางเบาตั้นสุ่ย ปาหลี่ในอนาคต ซึ่งก่อนที่ปาหลี่จะสร้างรถไฟฟ้ารางเบา พื้นที่กังกล่าวจะถูกใช้เป็นช่องทางพิเศษสำหรับรถโดยสารประจำทางก่อน ส่วนด้านนอกสุด มีเลนจักรยานและเลนทางเท้าที่ใช้ร่วมกัน และมีจุดชมวิวบนตัวสะพาน เพื่อให้ประชาชนสามารถชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่ตั้นสุ่ยและสัมผัสบรรยากาศทัศนียภาพของวิวทะเล ได้อย่างเพลิดเพลิน
นายเฉินซื่อไข่ (陳世凱) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม สัมภาษณ์ว่า สะพานตั้นเจียง มีกำหนดเปิดใช้งานในวันที่ 12 พฤษภาคม 2569 โดยจะมีการจัดพิธีเปิดระยะเวลา 2-3 วัน เพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสมาชม สัมผัส และใกล้ชิดกับสะพาน ซึ่งหลังจากสะพานตั้นเจียงเปิดให้สัญจรแล้ว จะช่วยลดปริมาณการจราจรบนสะพานกวนตู้ได้ถึง 30% และช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ตั้นสุ่ยประหยัดเวลาเดินทางไปยังสนามบินนานาชาติเถาหยวนกับเขตกรุงไทเปได้เร็วขึ้นประมาณ 25 นาที และยังช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจให้แก่พื้นที่ใกล้เคียงอีกด้วย

ภาพประกอบเลนจักรยานและทางเท้าสำหรับคนเดิน เพื่อให้ประชาชนได้ชมทัศนียภาพสะพานตั้นเจียง (เว็บไซต์สะพานตั้นเจียง)
กองการท่องเที่ยว นิวไทเป เผยว่า ก่อนหน้านี้ เนื่องจากการคมนาคมไม่สะดวก ทำให้การเชื่อมต่อเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างฝั่งตั้นสุ่ยกับปาหลี่เป็นเรื่องยาก แต่หลังจากสะพานตั้นเจียง เปิดใช้งาน จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดบนถนนทางหลวงหมายเลข 2 และสะพานก้วนตูได้อย่างมาก เมื่อการเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ก็จะสามารถเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ถนนโบราณตั้นสุ่ย ท่าเทียบเรือชาวประมงตั้นสุ่ย (Tamsui Fisherman’s Wharf) ป้อมปราการซาน โดมินโก (Fort San Domingo) ที่มีชื่อภาษาจีนว่า 紅毛城 และะเส้นทางปั่นจักรยานเขตปาหลี่ (八里左岸) กลายเป็นเส้นทางท่องเที่ยวแบบครบวงจร และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของไต้หวัน
คุณผู้ฟังท่านไหนที่ฟังมาถึงตรงนี้ หากคุณเป็นแรงงานไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของการก่อสร้างนี้ แสดงตัวให้เรารับทราบด้วยนะคะ หรือร่วมเขียนความประทับใจหรือความเหนื่อยยากของกระบวนการก่อสร้างนี้เข้าสู่รายการ เราจะยินดีมากเลยค่ะ แล้วเพื่อนๆคนอื่นๆ ตั้งตารอที่จะไปเยี่ยมชมสะพานแห่งนี้กันมากน้อยแค่ไหน แสดงความคิดเห็นเข้าสู่รายการเลยค่ะ
2. วุ้นกบ - 愛玉
ชื่อเรียก “วุ้นกบ” อาจทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าทำมาจากไข่กบหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับกบ แต่แท้จริงแล้ววุ้นชนิดนี้ผลิตขึ้นจากเมล็ดผลไม้ท้องถิ่นของไต้หวันที่มีชื่อว่า “อ้ายอวี่” (愛玉) มักพบตามเชิงเขาและป่าดิบชื้น โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเขาตอนกลางและตอนเหนือของไต้หวัน “อ้ายอวี่” ถือเป็นพืชท้องถิ่นที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม เพราะถูกค้นพบและนำมาใช้ทำวุ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงในศตวรรษที่ 19 ตำนานเล่ากันว่าเป็นแม่ค้าชาวไต้หวันที่ค้นพบโดยบังเอิญเมื่อนำเมล็ดไปล้างในลำธาร และสังเกตเห็นว่าน้ำที่แช่เมล็ดนั้นแข็งตัวกลายเป็นวุ้นใส จึงเริ่มแพร่หลายเป็นของหวานพื้นบ้านมาจนถึงปัจจุบัน
วิธีการทำวุ้น“อ้ายอวี่” ยังคงรักษาแบบดั้งเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ โดยจะเก็บผล“อ้ายอวี่” ที่แก่เต็มที่ นำเมล็ดออกมาตากแดดจนแห้งเพื่อเก็บไว้ได้นาน และเมื่อต้องการนำมาใช้จะใส่เมล็ดลงในถุงผ้าบาง ๆ ล้างหรือลงไปนวดขยำในน้ำสะอาดอย่างต่อเนื่อง น้ำที่ได้จะค่อย ๆ แข็งตัวเป็นวุ้นใสโดยไม่ต้องใช้สารเจือปนหรือวัตถุดิบอื่น ๆ เลย กระบวนการนี้อาศัยสารธรรมชาติที่อยู่บนผิวเมล็ดทำปฏิกิริยากับน้ำ ทำให้เกิดเจลเนื้อเบาและนุ่มลื่นเป็นเอกลักษณ์
รูปลักษณ์ของวุ้นที่ได้มีลักษณะคล้ายไข่กบในน้ำ จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกในภาษาไต้หวันว่า “ชิงวา ช่าตั้น” (青蛙下蛋) ซึ่งแปลตรงตัวว่า “กบวางไข่” ชื่อที่ฟังดูแปลกแต่กลับติดหูนี้ทำให้คนจดจำได้ง่าย และกลายมาเป็นที่มาของชื่อ “วุ้นกบ” ในภาษาไทยที่ใช้เรียกกันแพร่หลายในเวลาต่อมา
วุ้นกบไม่เพียงมีที่มาที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังเป็นของหวานที่มีความหมายในเชิงวัฒนธรรม เพราะเป็นหนึ่งในเมนูที่ชาวไต้หวันนิยมรับประทานในช่วงฤดูร้อน ด้วยคุณสมบัติที่สามารถช่วยดับกระหายและให้ความสดชื่นได้ วุ้นกบจึงมักปรากฏอยู่ในความทรงจำของคนไต้หวันทุกคนในฐานะ “รสชาติแห่งฤดูร้อน” ที่มักบริโภคกันภายในครอบครัวหรือตามตลาดกลางคืน ความนิยมนี้ทำให้วุ้นกบกลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประจำท้องถิ่น และยังสะท้อนความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นำภูมิปัญญาชาวบ้านมารังสรรค์ของหวานชนิดนี้
ในแทบทุกพื้นที่ของไต้หวัน วุ้นกบสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ตั้งแต่ร้านริมถนน รถเข็นที่ขายน้ำแข็งไส คาเฟ่วัยรุ่นสมัยใหม่ ไปจนถึงร้านเครื่องดื่มชานมแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่แข่งขันกันสร้างเมนูใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่อากาศร้อนอบอ้าว เมนูวุ้นกบจะถูกโปรโมตเป็นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้าหรือนักท่องเที่ยวที่มาเยือนไต้หวันให้ลองชิมวุ้นกบควบคู่กับเมนูยอดนิยมอื่น ๆ เช่น ชานมไข่มุกหรือถั่วเขียวต้มน้ำตาล
แม้จะเป็นของหวานที่มีราคาย่อมเยาและทำจากวัตถุดิบพื้นบ้าน แต่ภาพลักษณ์ของวุ้นกบกลับไม่เคยถูกลดทอน ตรงกันข้าม วุ้นกบยังคงได้รับการยอมรับว่าเป็นเมนูที่มีเอกลักษณ์และเป็นที่ภาคภูมิใจของชาวไต้หวันในฐานะของหวานที่ผสมผสานทั้งภูมิปัญญา ความเรียบง่าย และคุณค่าทางสุขภาพเข้าไว้ด้วยกัน
คุณค่าทางโภชนาการของวุ้นกบ ก็เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้วุ้นกบได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องเสมอมา เนื่องจากวุ้นอ้ายอวี่ทำจากเมล็ดพืชล้วน ๆ โดยไม่ต้องใช้สารเจลาตินหรือวัตถุสังเคราะห์ วุ้นอ้ายอวี่นั้นเกิดจากสารธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิวเมล็ด เมื่อถูกน้ำ สารดังกล่าวจะละลายออกมาและก่อตัวเป็นเจลใส ส่งผลให้วุ้นที่ได้มีเส้นใยอาหารอยู่ในปริมาณมาก ซึ่งช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและลดปัญหาท้องผูก
นอกจากนี้ยังมีสารเพกติน (Pectin) ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำที่พบได้ตามธรรมชาติ ข้อมูลจาก Taiwan Food Industry Development and Research Institute (2022) ระบุว่าเพกตินมีคุณสมบัติช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลให้อยู่ในเกณฑ์สมดุล ส่งผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ใส่ใจการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหรือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน
อีกทั้ง วุ้นกบยังมีจุดเด่นคือแคลอรีต่ำ โดยในปริมาณ 100 กรัมนั้นให้พลังงานเพียงราว 30–40 กิโลแคลอรีเท่านั้น ตามข้อมูลจาก Taiwan Agricultural Research Institute (2021) เมื่อรับประทานคู่กับผลไม้สด น้ำผึ้ง หรือชา นอกจากจะเพิ่มรสชาติและความสดชื่นแล้ว ยังช่วยเสริมวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระจากวัตถุดิบอื่น ๆ เข้าไปอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ วุ้นกบจึงได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้รักสุขภาพและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะสามารถรับประทานได้โดยไม่รู้สึกผิด แตกต่างจากของหวานทั่วไปที่มักมีไขมันและพลังงานสูง
วิธีการรับประทานวุ้นกบ มีตั้งแต่สูตรดั้งเดิมอย่าง น้ำผึ้งมะนาววุ้นกบ ที่ผสมน้ำเชื่อมหรือน้ำผึ้งแท้กับมะนาวสด กลายเป็นเมนูคลาสสิกที่ชาวไต้หวันคุ้นเคยมายาวนาน ไปจนถึงการนำวุ้นกบไปประยุกต์ใส่ในชาผลไม้ เครื่องดื่มเย็น หรือแม้แต่ชานมไข่มุก เพื่อสร้างรสชาติและประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภค
ในประเทศไทย วุ้นกบเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สืบเนื่องจากกระแสความนิยมเครื่องดื่มไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุกหรือของหวานเย็นต่าง ๆ ร้านเครื่องดื่มสัญชาติไต้หวันหลายแห่งที่มาเปิดสาขาในไทย ต่างนำเมนูวุ้นกบเข้ามาเพื่อเป็นจุดขายของร้าน ลูกค้าชาวไทยจำนวนไม่น้อยให้ความเห็นว่าวุ้นกบมีความคล้ายคลึงกับเฉาก๊วยหรือวุ้นสมุนไพรที่คุ้นเคย แต่มีเนื้อสัมผัสที่เบากว่าและรสชาติเป็นธรรมชาติมากกว่า ความสดชื่นและแคลอรีต่ำยังตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ
ตัวอย่างเมนูยอดนิยมในร้านเครื่องดื่มไต้หวันที่เปิดในไทย ได้แก่
น้ำผึ้งมะนาววุ้นกบ (Signature Menu) รสเปรี้ยวอมหวาน สดชื่นจากมะนาวคั้นสดและน้ำผึ้งแท้ ให้พลังงานเพียง 109 Kcal ราคา 50 บาท เสาวรสวุ้นกบ เมนูที่อุดมด้วยวิตามินซีจากเสาวรสสด หอมสดชื่น ให้พลังงาน 126 Kcal ราคา 60 บาท (สูตรดั้งเดิม ไม่สามารถเลือกความหวานได้) ชานมวุ้นกบ ใช้ใบชาอู่หลงเป็นพื้นฐาน มีรสชาติแบบเบา ๆ สามารถเลือกความหวานได้ตั้งแต่ 0% จนถึง 100% โดยพลังงานจะเพิ่มตามระดับความหวาน เช่น 0% = 119 Kcal, 25% = +30 Kcal, 50% = +58 Kcal, 100% = +116 Kcal และหากเพิ่มไข่มุกจะได้ +223 Kcal ราคาเริ่มต้น 50 บาท เพิ่มไข่มุก +5 บาท
เมื่อพิจารณาทั้งที่มา วิธีการทำ คุณค่าทางโภชนาการ และความนิยมที่แพร่หลายจากไต้หวันมาสู่ไทย วุ้นกบจึงไม่ใช่เพียงของหวานที่กินเพื่อดับร้อนเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของอาหารที่มาจากภูมิปัญญาชาวบ้าน และยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ต้องการความอร่อยควบคู่ไปกับการมีสุขภาพที่ดี ความนิยมของวุ้นกบไม่ได้จำกัดอยู่เพียงในกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับในวงกว้าง เพราะมีจุดเด่นที่แตกต่างจากขนมหวานประเภทอื่น ทั้งในด้านรสชาติที่สดชื่น แคลอรีต่ำ และการผสมผสานเข้ากับเครื่องดื่มได้หลากหลายรูปแบบ
นอกจากคุณค่าในฐานะของหวานพื้นเมืองของไต้หวันแล้ว วุ้นกบยังสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ด้านอาหารของไต้หวันที่ผสมผสานระหว่างการรักษารากเหง้ากับการเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างลงตัว ไต้หวันถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความโดดเด่นด้านการนำอาหารจากต่างประเทศเข้ามาประยุกต์ใช้ควบคู่กับวัฒนธรรมการกินท้องถิ่น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการผสมผสานอาหารญี่ปุ่น เกาหลี และอาหารตะวันตกให้เข้ากับรสนิยมของผู้บริโภคชาวไต้หวัน จนกลายเป็นวัฒนธรรมการกินที่หลากหลายและร่วมสมัย จุดแข็งนี้ทำให้อาหารไต้หวันสามารถรักษาเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้ ขณะเดียวกันก็ไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาและปรับตัวให้ทันต่อกระแสของโลก