ไต้หวันก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด” ธนาคาร CTBC เผยแพร่ สมุดปกขาวการเงินเพื่อสังคมสูงวัย
ไต้หวันก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด”แล้ว ปัญหาขาดแคลนแรงงานและช่องว่างทางการเงินเริ่มปรากฏชัดขึ้น ธนาคาร CTBC Bank ได้เผยแพร่ “สมุดปกขาวการวางแผนการเงินครอบครัวและการเงินเพื่อสังคมสูงวัย 2025” (樂齡金融白皮書) โดยชี้ให้เห็น 3 ปัญหาสำคัญ ได้แก่ การเตรียมความพร้อมทางการเงินในระยะยาวของประชาชนยังไม่เพียงพอ ภาระการดูแลและการจัดการด้านการเงินมักกระจุกอยู่กับผู้ดูแลเพียงคนเดียว และความท้าทายในการใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายที่เพิ่มมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 2025 ไต้หวันได้ก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด” โดยประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีสัดส่วนมากถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ธนาคาร CTBC Bank ได้มอบหมายให้บริษัทสอบบัญชี PwC Taiwan ทำการสำรวจ และเมื่อวันที่ 30 กันยายน ได้ร่วมกันเผยแพร่ สมุดปกขาวการเงินเพื่อสังคมสูงวัย ซึ่งรวบรวมแบบสอบถามมากกว่า 1,000 ชุด และทำการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปกับบทบาทต่าง ๆ ในครอบครัว เพื่อวิเคราะห์ในประเด็นต่าง ๆ ทั้งในด้านประชากร ครอบครัว การเกษียณ การดูแลผู้สูงอายุ และการส่งต่อมรดก ครอบคลุมครอบครัวรูปแบบต่างๆ เช่น คนโสดที่ต้องดูแลพ่อแม่ ครอบครัวแซนด์วิช ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และลูกของตัวเอง หรือผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่กับบุตร งานวิจัยครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสำรวจข้อมูลเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็น “คู่มือปฏิบัติด้านการเงิน” ในอนาคตสำหรับครอบครัวได้อีกด้วย
สถิติจากกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน เมื่อปี 2023 ระบุว่า คนไต้หวันมีอายุขัยเฉลี่ย 80.2 ปี แต่อายุขัยเฉลี่ยที่สุขภาพแข็งแรงกลับอยู่ที่ 72.4 ปี แสดงให้เห็นว่าคนไต้หวันโดยเฉลี่ยมีช่วงเวลาราว 8 ปีที่อยู่ในภาวะ “มีชีวิตที่ไม่แข็งแรง” แม้อายุยืนจะเป็นแนวโน้มการพัฒนาของโครงสร้างประชากร แต่ก็มาพร้อมกับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์จำนวนมหาศาลและความต้องการด้านการดูแลที่เพิ่มขึ้น
ธนาคาร CTBC Bank ระบุว่า สมุดปกขาวการเงินเพื่อสังคมสูงวัย ได้สรุปความกังวลใหญ่ 3 ประการ ประการแรก แม้ว่าหลายครอบครัวจะมีความสามารถรับมือด้านการเงินระยะสั้น เช่น ค่าใช้จ่ายประจำวัน แต่กลับขาดการวางแผนระยะกลางและระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมตัวก่อนเกษียณ การจัดสรรสินทรัพย์ หรือการวางแผนส่งต่อมรดก ประการที่สอง ในหลายครอบครัว ภาระการดูแลมักตกอยู่กับสมาชิกเพียงคนเดียว โดยผู้ดูแลกว่าครึ่งหนึ่งระบุว่า “การต้องทำงานไปพร้อมกับการดูแล” คือสาเหตุหลักของความเครียด
ประการที่สาม เมื่อสังคมเปลี่ยนผ่านจากรุ่นสู่รุ่น ความท้าทายในการดำเนินชีวิตช่วงบั้นปลายเริ่มปรากฏชัดมากขึ้น การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้สูงอายุต้องเตรียมความพร้อมของตัวเองมากขึ้น ควบคู่ไปกับการได้รับการสนับสนุนจากสังคม ดังนั้นการสร้างระบบการดูแลระยะยาวและการเชื่อมโยงทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยบรรเทาภาระของครอบครัว และสร้างหลักประกันคุณภาพชีวิตในบั้นปลายชีวิต
ธนาคาร CTBC Bank เสนอแนวทาง “ออม–เสริม–ปกป้อง–ส่งต่อ” (存、補、護、留) เพื่อช่วยครอบครัวสร้างเครือข่ายป้องกันทางการเงินที่ครบวงจร “ออม” (存) หมายถึง บุคคลทั่วไปควรออมเงินไว้สำหรับวัยชรา เพื่อสร้างกระแสเงินสดแบบ passive income หมายถึง รายได้ที่มาจากการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินที่เราถือครอง ที่มั่นคงและยั่งยืน รองรับค่าใช้จ่ายระยะยาวในวัยเกษียณ “เสริม” (補) หมายถึง การเตรียมกองทุนสุขภาพและการดูแลล่วงหน้า ผ่านประกันระยะยาวและประกันสุขภาพ เพื่อลดความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ “ปกป้อง” (護) หมายถึง การจัดการสินทรัพย์ผ่านกองทุนเพื่อผู้สูงอายุหรือสถาบันมืออาชีพ สร้างกลไกป้องกันทางการเงินระยะยาว “ส่งต่อ” (留) หมายถึง การวางแผนส่งต่อทรัพย์สินอย่างเป็นระบบ ผ่านคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อให้ความมั่งคั่งสามารถสืบต่อไปในรุ่นต่อรุ่นอย่างปลอดภัย

สมุดปกขาวการวางแผนการเงินครอบครัวและการเงินเพื่อสังคมสูงวัย 2025
คือคู่มือการวางแผนการเงินที่มีประมาณ 90 หน้า
บทที่ 1 | เริ่มจากจุดจบ: นิยามใหม่ของจุดสิ้นสุดชีวิตและจุดเริ่มต้นทางการเงิน
บทที่ 2 | ความคาดหวังกับความเป็นจริง: การวิเคราะห์ 6 มิติของดัชนีการเงินครอบครัวและการเงินสำหรับผู้สูงอายุในไต้หวัน
บทที่ 3 | การทำฝันให้เป็นจริง: แผนการเติมเต็มชีวิตผู้สูงอายุ
บทที่ 4 | การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและยืนยาว: การดูแลและการเตรียมพร้อมในวัยสูงอายุ
บทที่ 5 | คำแนะนำสำหรับการใช้ชีวิตผู้สูงอายุและการวางแผนการเงินครอบครัว
การถือกำเนิดของสังคมอายุยืน การบริหารการเงินในครอบครัวก็ได้เข้าสู่ยุคใหม่
ประวัติศาสตร์วิวัฒนาการวิวัฒนาการของมนุษยชาติเริ่มตั้งแต่ยุคหิน จนถึงศตวรรษที่ 21 ผ่านการปฏิวัติทางปัญญา การปฏิวัติเกษตรกรรม การปฏิวัติอุตสาหกรรม ยุคอินเทอร์เน็ต และมาถึงยุค AI ในปัจจุบัน ด้วยทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์และการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่แพร่หลาย มนุษยชาติกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการมีอายุยืนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตามการคาดการณ์ของสหประชาชาติ ระบุว่า ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1974 ถึง 2024 สัดส่วนประชากรโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปเพิ่มขึ้นจาก 5.5% เป็น 10.2% และคาดว่าภายในปี ค.ศ. 2074 ตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่าอยู่ที่ 20.7% สิ่งนี้ไม่เพียงสะท้อนถึงการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงแรงกดดันต่อการดำรงชีวิตในช่วงอายุร้อยปี ดังนั้นการนิยาม “จุดสิ้นสุดของชีวิต”(人生終點) จึงต้องถูกนิยามใหม่ นอกจากการ “จากไปอย่างสงบ” (善終) ยังต้องคิดถึงวิธีการ “ใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ” ด้วย (善活)
ด้วยแรงขับเคลื่อนจากจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คำว่า "สังคมสูงอายุ" จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศที่พัฒนาแล้วอีกต่อไป หลายประเทศกำลังพัฒนาก็จะเผชิญ “สึนามิผู้สูงอายุ” ภายใน 30 ปีข้างหน้า รายงาน World Population Prospects 2024 ซึ่งเป็นรายงานสรุปผลการประมาณการและการคาดการณ์ประชากรโลกอย่างเป็นทางการของสหประชาชาติระบุว่า ภายในช่วงปลายทศวรรษ 2070 ประชากรโลกที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนถึง 2,200 ล้านคน ซึ่งจะมากกว่าจำนวนประชากรที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี และประชากรอายุ 80 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนมากกว่าทารกแรกเกิดภายในช่วงกลางทศวรรษ 2030 แนวโน้มนี้จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม พลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและรูปแบบครอบครัวของแต่ละประเทศอย่างสิ้นเชิง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ตามรายงานของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ชี้ว่า แม้ว่าอายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกจะเพิ่มขึ้น แต่ช่วงอายุขัยที่มีสุขภาพดีกลับไม่ได้เพิ่มตามไปด้วย สำหรับไต้หวัน ตามสถิติของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการปี 2023 คนไต้หวันมีอายุขัยเฉลี่ย 80.2 ปี แต่อายุขัยที่มีสุขภาพดีกลับอยู่ที่ 72.4 ปี ส่งผลให้มีสุขภาพไม่ดีอยู่ประมาณ 8 ปี โดยผู้หญิงมีอายุขัยที่สุขภาพไม่ดีนานถึง 8.6 ปี ดังนั้น การที่คนไต้หวันจะสามารถมีชีวิตยืนยาว พร้อมทั้งมีคุณภาพชีวิตดี มีความสุขในวัยสูงอายุ จึงกลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับช่วงเวลาที่ “มีชีวิตแต่ร่างกายไม่แข็งแรง” แต่ละครอบครัวอาจต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์และความกดดันจากการดูแลอย่างมาก ตามสถิติของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ ปี 2023 ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ต่อคนต่อปีในไต้หวันอยู่ที่ 78,595 เหรียญไต้หวัน และค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 60 ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของระบบประกันสุขภาพแห่งชาติ เนื่องจากผู้สูงอายุมีอัตราป่วยและต้องการการดูแลสูง จึงทำให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์สำหรับรัฐบาล ครอบครัว และบุคคลเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ
สังคมสูงวัยจะเผชิญกับความเสี่ยงหลัก 4 ประการ ได้แก่ ความเสี่ยงด้านอายุขัย ความเสี่ยงด้านสุขภาพ ความเสี่ยงจากการฉ้อโกง และความเสี่ยงด้านการส่งต่อทรัพย์สิน ดังนั้น ขอแนะนำให้ครอบครัวและบุคคลทั่วไป วางแผนกองทุนเกษียณชีวิตของตนอย่างรอบคอบ พร้อมทั้งวางแผนการส่งต่อความมั่งคั่ง เพื่อรับมือกับวิกฤตผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึง
ในสังคมผู้สูงอายุ การเกษียณอายุไม่ใช่จุดสิ้นสุดอีกต่อไป แต่เป็นการเริ่มต้นของการเดินทางใหม่ สังคมและประเทศ จำเป็นต้องสร้างระบบการเงินที่รองรับชีวิตยืนยาวถึงร้อยปี ครอบคลุมทั้งการปฏิรูประบบบำนาญ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์ ประกันดูแลระยะยาว และกลไกสนับสนุนระหว่างรุ่น พร้อมกันนั้น ควรส่งเสริมแนวคิด การเงินสำหรับผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ความมั่งคั่งของผู้คนสอดคล้องกับอายุขัยของพวกเขา ในกระบวนการนี้ ความเอื้ออาทรแห่งการดูแลกลายเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้ผู้สูงอายุรับรู้ถึงความห่วงใยจากครอบครัวและสังคม และช่วยให้ผู้คนแต่ละรุ่นเติบโตภายใต้ความรักและการสนับสนุนที่มีให้แก่กัน
ใครที่สนใจคู่มือเล่มนี้ เราจะแนบลิงก์ไว้ให้ในเว็บไซต์ของเรา สามารถคลิกเข้าไปดูข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่วัยเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ