กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันได้ประกาศกฎระเบียบใหม่ที่จะมีผลในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งรวมถึงโครงการเงินอุดหนุนเด็กหลอดแก้วสำหรับภาวะมีบุตรยากเวอร์ชัน 3.0 ที่เริ่มบังคับใช้ โดยเพิ่มเงินอุดหนุนสำหรับบุตรคนที่ 2 และ 3 ให้เท่ากับบุตรคนแรก สำหรับสตรีที่อายุไม่ถึง 39 ปี ซึ่งแต่ละครั้งจะสามารถรับเงินอุดหนุนได้สูงสุด 150,000 เหรียญไต้หวัน นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่ผ่านการประเมินจากแพทย์แล้ว ยังสามารถฉีดยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำที่บ้านได้
สำนักงานสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการได้ชี้แจงว่า เงินอุดหนุนเด็กหลอดแก้วสำหรับภาวะมีบุตรยากเวอร์ชัน 3.0 จะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน โดยเป็นการยกระดับเงินอุดหนุนเพื่อลดภาระทางการเงินของคู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากในการเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว เงินอุดหนุนที่มีการเพิ่มขึ้นรายการที่ 1 คือสำหรับผู้ที่อายุไม่ถึง 39 ปี โดยการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ครั้งที่ 1 อุดหนุนสูงสุด 150,000 เหรียญไต้หวัน ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 อุดหนุนสูงสุด 100,000 เหรียญไต้หวัน
เงินอุดหนุนที่ปรับเพิ่มขึ้นรายการที่ 2 คือสำหรับผู้ที่มีอายุ 39 ปี และต่ำกว่า 45 ปี โดยการตั้งครรภ์แต่ละครั้ง ครั้งที่ 1 อุดหนุนสูงสุด 130,000 เหรียญไต้หวัน ส่วนครั้งที่ 2 และ 3 อุดหนุนสูงสุด 80,000 เหรียญไต้หวัน สำนักงานสุขภาพฯ เตือนว่าหลังกฎระเบียบใหม่เริ่มใช้ ผู้ที่อายุต่ำกว่า 39 ปี สามารถฝังตัวอ่อนได้สูงสุด 1 ตัว ขณะที่ผู้ที่อายุ 39 ปีและต่ำกว่า 45 ปี สามารถฝังตัวอ่อนได้สูงสุด 2 ตัว เพื่อปกป้องสุขภาพของคุณแม่และทารก พร้อมสนับสนุนให้คู่สามีภรรยาที่มีบุตรยากใช้สิทธิเงินอุดหนุนช่วยเหลือการมีบุตร

ในด้านการลดความจำเป็นในการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หลังจากเดือนสิงหาคมได้เริ่มให้การฉีดยาปฏิชีวนะเปลี่ยนจากการรักษาแบบผู้ป่วยในเป็นผู้ป่วยนอก ในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็ขยายขอบเขตการรักษาด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะที่บ้านได้ สำนักงานประกันสุขภาพฯ ได้แก้ไข "โครงการนำร่องการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินที่บ้านภายใต้ระบบประกันสุขภาพ" โดยเพิ่มมาตรฐานการเบิกจ่ายเงินสำหรับ "ชุดให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ 1 วัน" เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและคุณภาพทางเลือกในการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ
สำนักงานประกันสุขภาพฯ ยังได้ทำการแก้ไขแผนการให้รางวัลแก่ผู้ป่วยนอกสำหรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำด้วย โดยเพิ่มมาตรฐานการเบิกจ่ายชุดให้สารละลายทางหลอดเลือดดำ 1 วัน เพื่อเพิ่มทางเลือกในการใช้ยาปฏิชีวนะของแพทย์คลินิก ลดการใช้ยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์กว้างเกินจำเป็น คาดว่าจะมีผู้ได้รับประโยชน์ประมาณ 10,000 คน และใช้งบประมาณประมาณ 54 ล้านเหรียญไต้หวัน
นอกจากนี้ ในวันที่ 2 พฤศจิกายน "โครงการทดลองศูนย์ดูแลอาการฉุกเฉินระดับเบา (UCC) ในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ภายใต้ระบบประกันสุขภาพ" จะเริ่มดำเนินการ โดยสำนักงานประกันสุขภาพได้เลือกสถานที่ให้บริการ 13 แห่งใน 6 เมืองหลัก เวลาทำการคือ 08:00-24:00 น. ในวันอาทิตย์หรือวันหยุดยาว โดยจะมีแพทย์จากคลินิกท้องถิ่นหมุนเวียนกันเข้าเวร และที่ศูนย์ฯ จะมีอุปกรณ์ X-ray พื้นฐานและอุปกรณ์ฉุกเฉิน เช่น ชุดทำคลอด ชุดเย็บแผล และเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า โดยเสียค่าส่วนต่างเพียง 150 เหรียญเท่านั้น
ศูนย์ฉุกเฉินในวันหยุดจะเน้นรองรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยอยู่ในระดับ 3-5 ตามเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉิน สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเร่งด่วนหรือซับซ้อน หรือจัดอยู่ในระดับ 1-2 ตามเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินจะถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลใหญ่ผ่านทางช่องทางสีเขียวผ่านทางช่องทางสีเขียว (Green Channel) สำนักงานประกันสุขภาพฯ คาดการณ์ว่าจะให้บริการได้ 36,000 เคสต่อปี และจะสนับสนุนเงินจากกองทุนประกันสุขภาพ 280 ล้านแต้ม ในช่วงปี 2565-2566 โดยหวังว่าการแบ่งแยกผู้ป่วยอาการไม่รุนแรง จะช่วยบรรเทาความแออัดในห้องฉุกเฉินช่วงวันหยุดยาว และทำให้ทรัพยากรทางการแพทย์ฉุกเฉินมุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยอาการหนักได้อย่างเต็มที่
.jpg)
เพื่อรับมือกับการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ กรมควบคุมโรคได้ประกาศแผนการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่และวัคซีน COVID-19 ที่รัฐบาลจัดสรรให้ฟรีสำหรับปี 2568-2569 โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ:
ระยะที่ 1: เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม สำหรับ 11 กลุ่มเป้าหมาย เช่น ผู้สูงอายุ เด็กก่อนวัยเรียน นักเรียน/นักศึกษา บุคลากรทางการแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค
ระยะที่ 2: เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป สำหรับกลุ่มเป้าหมายคือ ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 50 ถึง 64 ปี ที่ไม่มีโรคเรื้อรังที่มีความเสี่ยงสูง
ขยายเงื่อนไขการใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่
รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาการใช้ยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่รัฐจัดสรรให้ฟรี ภายใต้เงื่อนไข "ผู้ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ และเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการเฉพาะเจาะจง" โดยจากเดิมที่กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 1 ถึง 31 ตุลาคม ได้ขยายออกไปจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2568 เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาโดยเร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและการเสียชีวิต
