นายจ้างที่ปรับสถานะแรงงานต่างชาติเป็น "แรงงานเทคนิคระดับกลาง"(แรงงานกึ่งฝีมือ) จะได้รับการ ยกเว้นการจ่าย "ค่าธรรมเนียมความมั่นคงในการจ้างงาน"
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการสูญเสียบุคลากรคุณภาพเมื่อครบกำหนดสัญญาจ้าง เป็นหนึ่งในความท้าทายที่ภาคธุรกิจในไต้หวันต้องเผชิญมาอย่างยาวนาน แต่ในวันนี้กระทรวงแรงงานไต้หวัน (สำนักงานพัฒนากำลังแรงงาน) ได้ประกาศมาตรการสำคัญเพื่อแก้ปัญหานี้อย่างยั่งยืน ด้วยการผลักดัน "โครงการเก็บรักษาแรงงานต่างชาติคุณภาพสูงใช้งานยาวนาน" หรือที่เรียกกันว่า "โครงการแรงงานกึ่งฝีมือ" โครงการนี้คือการปฏิรูปครั้งใหญ่ ที่มีเป้าหมายหลักในการเปลี่ยนแรงงานข้ามชาติอาวุโสให้เป็นบุคลากรทักษะระดับกลางและเปิดโอกาสให้นักศึกษาต่างชาติที่จบการศึกษาสูงสามารถทำงานต่อได้ทันที เพื่อให้พวกเขาสามารถอยู่และทำงานในไต้หวันได้โดยไม่มีการจำกัดระยะเวลาอีกต่อไป
กระทรวงแรงงานไต้หวันสำนักงานพัฒนากำลังแรงงานได้ประกาศเปิดตัว "โครงการเก็บรักษาแรงงานต่างชาติคุณภาพสูงใช้งานยาวนาน" อย่างเป็นทางการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการแรงงานที่มั่นคงในระยะยาวของภาคธุรกิจ โครงการนี้อนุญาตให้นายจ้างสามารถปรับสถานะแรงงานต่างชาติอาวุโสที่มีประสบการณ์สูงให้กลายเป็นแรงงานกึ่งฝีมือ(中階技術人力)ได้ทันที นอกจากนี้ยังสามารถจ้างงานนักศึกษาชาวต่างชาติที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปให้ทำงานต่อในไต้หวันได้อีกด้วย
หากนายจ้างปรับแรงงานเหล่านี้เป็นแรงงานกึ่งฝีมือ นอกจากจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการจ้างงานแล้ว จำนวนโควต้าตำแหน่งเดิมของแรงงานก็สามารถยื่นขอเพิ่มได้ตามปกติ ทำให้การบริหารจัดการแรงงานยืดหยุ่นมากขึ้น
สำนักงานพัฒนากำลังแรงงานเน้นย้ำว่านอกจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมแล้ว การจ้างแรงงานเทคนิคระดับกลางยังมีข้อดี 3 ประการ ได้แก่:
1. ความสบายใจด้านระยะเวลาทำงาน: "ทำงานได้โดยไม่มีระยะเวลาจำกัด"
นี่คือการยุติปัญหาการต้องส่งแรงงานที่มีความผูกพันและทักษะสูงกลับประเทศเมื่อครบวาระ แรงงานที่ได้เลื่อนสถานะเป็นเทคนิคระดับกลางจะทำงานต่อในสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยได้อย่างไร้กังวล ขณะที่นายจ้างก็ได้รับความมั่นใจว่าจะมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเหล่านี้ดูแลกิจการหรือดูแลสมาชิกในครอบครัวไปได้อีกนาน
2. ความอุ่นใจด้านการจัดการทักษะ: "เก็บแรงงานคุณภาพสูงไว้ใช้งาน"
แรงงานอาวุโสเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ประสบการณ์ แต่ยังมีความชำนาญ (Know-how) และความภักดีต่อองค์กร การเลื่อนสถานะช่วยให้พวกเขาได้ใช้ทักษะอย่างเต็มที่และยังสามารถทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมย่อย (Supervisor) หรือผู้ถ่ายทอดความรู้ให้กับแรงงานข้ามชาติชุดใหม่ได้ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสรรหาและฝึกอบรมแรงงานใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับงาน
3. ความสบายใจด้านความสัมพันธ์: "สร้างความมั่นคงในความสัมพันธ์แรงงาน-นายจ้าง"
การได้รับสถานะใหม่พร้อมเงินเดือนที่สูงขึ้น ถือเป็นการให้ความเคารพและโอกาสในการพัฒนาสายอาชีพ (Career Development) แก่แรงงาน ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างมีความมั่นคงยิ่งขึ้น ส่งผลให้แรงงานมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ลดอัตราการลาออกและปัญหาความไม่ต่อเนื่องของเทคนิคในองค์กร
สำนักงานพัฒนากำลังแรงงานยังได้กล่าวต่อว่า เพื่อช่วยให้นายจ้างดำเนินการจ้างแรงงานเทคนิคต่างชาติได้สะดวกขึ้น จึงได้ตั้งศูนย์บริการเก็บรักษาแรงงานคุณภาพสูง ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์เมืองซินจู๋หรือโทรสอบถามทางสายด่วน นอกจากนี้ยังสามารถจองขอรับปรึกษาผ่านวิดีโอออนไลน์บนเว็บไซต์ของศูนย์ โดยทางศูนย์จะให้คำแนะนำขั้นตอนการสมัครและแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นกรณีต่อกรณีจนกว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้น
สำนักงานพัฒนากำลังแรงงานยังกล่าวว่า เพื่อให้นายจ้างเข้าใจข้อมูลโครงการชัดเจนขึ้น ศูนย์จะจัดประชุมชี้แจงโครงการตามจังหวัดทุกปี และเชิญนายจ้างที่เคยประสบความสำเร็จในการเก็บแรงงานเทคนิคระดับกลางมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทำให้นายจ้างสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและประหยัดเวลาในการดำเนินงาน
ตั้งแต่โครงการ "เก็บรักษาแรงงานต่างชาติคุณภาพสูงใช้งานยาวนาน" เริ่มดำเนินการ ก็ได้รับคำชมเชยจากหลายฝ่าย
นายจ้างที่มีคุณสมบัติสามารถสมัครได้ตลอดเวลา เพื่อเสริมแรงงานตามความต้องการ และสร้างแรงงานคุณภาพที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในระยะยาว ซึ่งเป็นการสร้างผลประโยชน์ทั้งสองฝ่ายระหว่างแรงงานและนายจ้าง

ค่าแรงขั้นต่ำในปี 2027 แตะ 30,000 เหรียญแน่นอน พร้อมเดินหน้าส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มรายได้โดยรวมของแรงงานในประเทศ
กระทรวงแรงงานไต้หวันได้บรรลุมติสำคัญในการประชุมคณะกรรมการพิจารณาค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเห็นชอบให้ ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนสำหรับปี 2569 (เริ่มใช้ 1 มกราคม 2569) จากเดิม 28,590 เหรียญไต้หวัน เป็น 29,500 เหรียญไต้หวัน
การปรับขึ้นครั้งนี้คิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้น 910 เหรียญไต้หวัน หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 3.18% พร้อมกันนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้มีมติปรับเพิ่ม ค่าจ้างขั้นต่ำรายชั่วโมง จาก 190 เป็น 196 เหรียญไต้หวันต่อชั่วโมง ด้วยอัตราการปรับเพิ่มที่สอดคล้องกับค่าจ้างรายเดือน
เมื่อวันที่ 30 ก.ย. ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีจั๋วหรงไท่ (卓榮泰) ได้นำทีมรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติ โดยยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการดูแลคุณภาพชีวิตของแรงงาน ท่านกล่าวว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2569 นี้ จะเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 10
หากรวมการปรับขึ้นทั้งหมด แรงงานจะได้รับค่าจ้างรายเดือนเพิ่มขึ้นรวม 47.4% ตลอดสิบปีที่ผ่านมาจนถึงระดับ 29,500 เหรียญไต้หวัน ขณะที่อัตราค่าจ้างรายชั่วโมงรวมปรับเพิ่มขึ้นถึง 63.3% เป็น 196 เหรียญไต้หวันต่อชั่วโมง
นายกรัฐมนตรีจั๋วหรงไท่ยังแสดงความเชื่อมั่นว่า ค่าจ้างขั้นต่ำของไต้หวันจะยังคงมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปีหน้า (2027) จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ 30,000 เหรียญไต้หวันได้
กระทรวงแรงงานคาดการณ์ว่า การปรับขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อแรงงานประมาณ 2.47 ล้านคน โดยเป็นแรงงานชาวไต้หวันราว 2.08 ล้านคน การปรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้จะต้องถูกนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติขั้นสุดท้าย และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่ของปีหน้าเป็นต้นไป
รัฐมนตรีแรงงานหงซินฮั่น (洪申翰) ย้ำว่า ทั้งฝ่ายนายจ้างและแรงงานต่างเห็นพ้องต้องกันว่าอัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคควรถูกนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง เพื่อรักษาอำนาจซื้อที่แท้จริง ของแรงงานระดับล่าง ถือเป็นแนวทางสำคัญในการพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
นายกรัฐมนตรีจั๋วหรงไท่กล่าวว่า ทีมบริหารรัฐบาลชุดนี้ดำเนินนโยบายตามข้อสั่งการของ ประธานาธิบดีไลชิงเต๋อ โดยมุ่งเน้น 4 เรื่องหลัก คือ เศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ของประชาชน กลุ่มเปราะบาง และเยาวชน พร้อมขับเคลื่อน 5 นโยบายสำคัญ เพื่อยกระดับประเทศและค่าแรงโดยรวม ได้แก่:
ส่งเสริม อุตสาหกรรมที่หลากหลายและเศรษฐกิจนวัตกรรม
ลดภาระ ค่าใช้จ่ายและดูแลคนทุกช่วงวัย
สนับสนุน เยาวชนให้พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
สร้าง ความสมดุลและความยั่งยืนของไต้หวัน
เสริมสร้าง ความยืดหยุ่นของสังคมและความมั่นคงของประเทศ
นอกจากนี้เพื่อปกป้องความปลอดภัยและสุขภาพของแรงงาน รัฐบาลยังได้ส่งร่างแก้ไขกฎหมายความปลอดภัยอาชีวอนามัยไปยังสภานิติบัญญัติแล้ว โดยเน้นการป้องกันภัยจากต้นทาง เพิ่มความเข้มงวดในการจัดการผู้รับจ้างและกำหนดมาตรการป้องกันการ รังแกในที่ทำงาน ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ของแรงงานอย่างแท้จริง
