ข้าวถือเป็นพืชอาหารหลักของไต้หวัน ส่วนฟางข้าวคือผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นในกระบวนการเพาะปลูก โดยทั่วไปปริมาณฟางข้าวจะมีปริมาณหนึ่งเท่าครึ่งของผลผลิตข้าวในแต่ละปี สถิติในปี 2023 ฟางข้าวทั่วประเทศมีปริมาณราว 1.46 ล้านตัน ส่วนใหญ่อยู่ใน 5 พื้นที่ ได้แก่ นครไทจง จางฮั่ว หยุนหลิน เจียอี้ และนครไถหนาน รวมกันคิดเป็นประมาณ 68% ของทั้งประเทศ (ราว 9.9 แสนตัน)

การเผาฟางในนาเคยเป็นวิธีดั้งเดิม แต่เพราะทำลายดินและมลพิษอากาศ จึงไม่ถูกส่งเสริมแล้ว
แบบดั้งเดิม การเผาตอซังในนาข้าวถูกมองว่าเป็นวิธีเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน และช่วยกำจัดเมล็ดวัชพืชบนผิวดิน เถ้าฟางที่เหลือจากการเผายังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเติมธาตุอาหารให้กับดินได้ จึงเป็นเหตุผลที่ชาวนานิยมทำระหว่างรอบการปลูกข้าวครั้งแรกและครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ควันจากการเผาฟางข้าวสามารถบดบังทัศนวิสัยบนท้องถนน ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทางจราจรได้ง่าย อีกทั้งมลพิษจากควันและฝุ่นละอองยังบั่นทอนคุณภาพชีวิตและสุขภาพประชาชน หากไฟควบคุมไม่อยู่ก็เสี่ยงลุกลามไปยังบ้านเรือนและพื้นที่ข้างเคียง จนกลายเป็นภัยสาธารณะ นอกจากนี้ ความร้อนจากการเผายังทำลายความสมดุลของจุลินทรีย์ในหน้าดิน ขณะที่เถ้าฟางก่อให้เกิดโพแทสเซียมคาร์บอเนตและแคลเซียมออกไซด์มากเกินไป ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินไม่สมดุลอีกด้วย
เพื่อลดการพึ่งพาการเผาฟางข้าวและคำนึงถึงคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี 2017 กรมการเกษตรและอาหารได้ร่วมมือกับหน่วยงานท้องถิ่น หน่วยงานสิ่งแวดล้อม และสถานีวิจัยการเกษตรทั่วประเทศ จัดการประชุมให้ความรู้และแลกเปลี่ยนแนวทาง เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการจัดการฟางข้าว เพื่อรักษาสุขภาพประชาชน และคุ้มครองคุณภาพอากาศ
เพื่อพัฒนาวิธีและเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการฟางข้าว ปัจจุบันกรมการเกษตรและอาหาร กระทรวงเกษตร แนะนำเทคนิค 3 แบบ ได้แก่ การสับฟางกลบในแปลง, การใส่ยูเรีย, การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีจุลินทรีย์ย่อยฟาง ซึ่งวิธีที่เกษตรกรนิยมมากที่สุดคือ สับฟางกลบ เพราะช่วยประหยัดแรงงานและต้นทุน อีกทั้งยังเติมธาตุอาหารให้กับดิน มีเกษตรกรใช้มากถึงราว 80% อย่างไรก็ตาม ฟางต้องใช้เวลานานกว่าจะย่อยสลาย ในสภาพอากาศร้อนอาจเกิดก๊าซมีเทนจนทำให้ข้าวเป็นโรคขาดอากาศ ส่งผลต่อการเจริญเติบโต และหากมีไต้ฝุ่นหรือฝนตกหนัก ฟางที่ยังย่อยไม่หมดอาจลอยไปกีดขวางแปลงข้าวเพื่อนบ้านได้ ส่วนการใส่ยูเรีย มักทำหลังการเก็บเกี่ยว โดยใส่ประมาณ 60–80 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ เพื่อเพิ่มปริมาณไนโตรเจนให้จุลินทรีย์นำไปใช้เร่งการย่อยฟาง ยูเรียหาง่ายสำหรับเกษตรกร แต่การเพิ่มไนโตรเจนมากเกินไปอาจทำให้ดินและจุลินทรีย์เสียสมดุล เกิดก๊าซมีเทนเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้ต้นข้าวเจริญเติบโตผิดปกติ ล้มง่าย และเสี่ยงต่อโรคแมลง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2006 สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรไทจง ได้เริ่มส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ผสมจุลินทรีย์ย่อยฟาง เพื่อเร่งการย่อยฟาง ลดการพึ่งพาปุ๋ยเคมี ลดการปล่อยก๊าซมีเทน และยังช่วยเสริมผลผลิตข้าวในระยะยาว

เมื่อใส่ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีจุลินทรีย์ย่อยสลายฟาง ข้าวที่ได้จะออกรวงแน่น เมล็ดเต็ม และให้ผลผลิตกับคุณภาพที่ดีขึ้น
ในผลิตภัณฑ์มีการเติมเชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma) ซึ่งสามารถอยู่ร่วมกับรากข้าวได้ ช่วยให้รากพัฒนาแข็งแรงและดูดซึมฟอสเฟตได้ดีขึ้น ส่งผลให้จำนวนกอ (แตกกอ) และจำนวนรวงที่สมบูรณ์เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยป้องกันการล้มของต้นข้าว และทำให้ระยะการตั้งท้องของรวงข้าวเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยรวมสามารถเพิ่มผลผลิตได้ราว 5–6%
ปี 2024 สถานีวิจัยและส่งเสริมการเกษตรไทจงได้พัฒนาปุ๋ยจุลินทรีย์ย่อยฟางชนิดผสมใหม่ และนำไปใช้จริงในพื้นที่ ไทจง จางฮั่ว และหนานโถว รวมแล้วมากถึง 6,720 เฮกตาร์ อัตราการเผาฟางข้าวก็ลดลงจาก 2.7% เหลือต่ำกว่า 0.8%